
Originally Posted by
พัฒน์ สัตถาสาธุชนะ
ครับ
ขอโทษครับในคลาวที่แล้วที่แอบหมกเม็ด
ในเนื้อหาเนื่องจากยังไม่เข้าใจในทั้งหมด แต่รีบอยากให้คนอื่นยอมรับ
เลยออกมาอธิบายครับ จนลืมนึกถึงผู้อื่นไปครับ
ในส่วนนี้ต้องขอโทษครับ
แถมในขณะเขียนเนื่องจากไม่มีหนังสือไว้คอยตรวจสอบ
ว่าที่ตนเข้าใจถูกไหมจึงอาจมีบ้างครับที่ไม่ถูกต้อง
ส่วนในเรื่องอุเบกขาพื้นที่นี้ผมก็ไม่ค่อยเคลียร์เหมือนกันครับ
แต่พยายามอธิบายในส่วนที่ตนเองเข้าใจ(ไม่แน่ใจนะครับว่าเข้าใจถูกไหม)
แต่ดันพยายามใช้รูปแบบเดิมที่อธิบายตัวอื่นมาอธิบาย
ไม่ได้เน้นเพื่อสือสารครับ ส่วนนี้ก็ขออภัยครับ
ในเรื่องอุเบกขานี้ในส่วนอื่นไม่รู้ว่ามีวิธีใช้อื่นหรือความหมายอื่นไหมนะครับ
แต่ที่ผมใช้คือ ผมรู้ว่าผมต้องพูดความจริงให้พ่อกับแม่ฟัง แต่หากผมมีโทสะกับพ่อแม่เขาคงไม่ฟังอันนี้ต้องดับโทสะตนก่อน แต่ตอนนั้นผมไม่กล้าบอกความจริงเพราะกลัวเขาไม่ยอมรับในตัวผม เพราะความจริงในเรื่องนั้นมันโหดร้าย ผมกลัวเขาจะเกียดผม ผมเลยต้องละความรู้สึกที่อยากได้การยอมรับนั้น แล้วจึงทำให้ผมสามารถบอกออกไปได้ครับ
ส่วนในที่พี่Phung กล่าวไว้นะครับ "เอ๊ะ หรือหมายถึงเราวางเฉยต่อความรู้สึกของเราทั้งหมด ทั้งรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ เหมือนเป็นการเอากิเลสออกก่อน แล้วค่อยคิดจัดการปัญหาต่อไป "อันนี้ก็ไม่แน่ใจนะครับแต่จากการอ่านดูแล้วผมว่าน่าจะใช่นะครับ อันนี้ความคิดผมนะครับไม่รู้จริงไหม คือประโยคนี้ผมว่าจริงครับ เพราะหากเรารู้สึกไม่ว่าจะพอใจ หรือไม่พอใจมันก็เป็นอคติต่อการคิดของเราอะครับ หากเรามีอคติการคิดนั้นก็มีปัญหา แต่ผมว่าอาจจะเหลือไว้สักความรู้สึกหนึ่งอะครับคืออยากให้เขาพ้นทุกข์ ส่วนท่านอื่นคิดอย่างไรคุยกันได้ครับ
และขออภัยอีกเรื่องครับที่อธิบายจนฟังเข้าใจยาก
จนทำให้ถูกคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือธรรมะ(จากนิยามของพี่ นายสติ)
หากคิดถึงคนอ่านมากกว่านี้คงเขียนแล้วเขาเอาไปใช้ในการเข้าใจตน เรื่องนี้ผิดผลาดไปแล้วครับ
ขอโทษคุณ BaMboS ด้วยนะครับที่ทำให้เข้าใจผิด
(ไม่สามรถหาหนังสืออ้างอิงได้ครับเพื่อนยืมไป จึงต้องอธิบายในสิ่งที่เข้าใจและจดจำมา อาจผิดพลาดได้อะครับ หากไม่ถูกต้องแย้งได้เลยครับ)
เท่าที่จำได้นะครับโทสะเปรียบเสมือนไฟ ซึ่งสามารถให้แสงสว่างได้
แต่ไฟนั้นมัน ร้อน จึงต้องมีสิ่งที่คุมมันนะครับ รู้สึกว่าผู้เขียนจะบอกว่าสิ่งนั้นคือใจดี
ใจดีที่ว่าคือพรหมวิหาร4นะครับ ไม่ทราบว่าในส่วนนี้เราเข้าใจตรงกันไหมนะครับ พี่ นายสติ
หากตรงกันนะครับโทสะก็ยังคงเป็นไฟอยู่แต่เราคุมมันแล้ว เราจึงมีแสงสว่างมาใช้งานแสงสว่างนั้นคือ ปัญญา ครับหากเข้าใจไม่ตรงกัน คุยกันได้ครับผม
ไว้เดียวถ้าเพื่อนเอามาคืนแล้วจะตรวจสอบอีกทีนะครับเอาเท่าที่เข้าใจก่อนนะครับ