อันนี้เราเจอมากับตัวเอง เมื่อกี้นี้เลย ตอนที่กำลังจะซื้อรองเท้าในห้างหรูบนถนนสุขุมวิท จริงๆแล้วเราซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้ แบบเดียวกันนี้ไปคู่นึงแล้ว เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ด้วยราคา 1,125 บาท ซึ่งเป็นราคา ลด 50% ซื้อจากบริเวณที่จัดเป็นพื้นที่พิเศษ (อยู่ตรงกลางระหว่างบันไดเลื่อนขึ้น และลง ชั้นที่ขายรองเท้า และกระเป๋าสตรี) รองเท้าน่ารักมาก และใส่สบาย เราก็เลย อยากได้แบบเดิมอีกสีนึง วันนี้ (31 ต.ค.) ก็เลยเดินไปดูที่ยี่ห้อเดิม แต่เป็นพื้นที่ปกติด้านใน ไม่ใช่ตรงบันไดเลื่อน (คือคนละพื้นที่กับที่ซื้ออาทิตย์ที่แล้ว) ขออธิบายให้เห็นภาพนิดนึง คือตรงพื้นที่ระหว่างบันไดเลื่อน (ที่ซื้อคราวที่แล้ว) เหมือนเป็นพื้นที่ขายเพิ่มเติมพิเศษน่ะ รองเท้ายี่ห้อนี้ก็จะมีวางอยู่ 2 ที่ คือที่พื้นที่ปกติด้านใน และวางที่พื้นที่พิเศษตรงบันไดเลื่อน ซึ่งตรงพื้นที่ปกตินั้น ก็ติดป้ายลดราคา 50% เหมือนกันกับที่วางตรงพื้นที่บันไดเลื่อน และก็วางขายรองเท้าแบบเดียวกันด้วย เราก็เลยไปดู ก็ไปเจอรองเท้าแบบเดียวกับที่ซื้อเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อีกสีนึงที่อยากได้พอดี กำลังจะซื้อ ก็เหลือบไปเห็นสติ๊กเกอร์ราคา ปรากฏว่าเป็น 1,325 บาท!

ก็เลยถามพนักงานขายว่า ราคานี้ลด 50% หรือยัง เธอก็บอกว่าลด 50% แล้วค่ะ เราก็เลยถามว่าทำไมราคาไม่เหมือนที่วางอยู่ตรงบริเวณบันไดเลื่อน เธอก็เริ่มอึกๆอักๆ มาถามเรากลับอีกว่า “ที่ขายตรงบันไดเลื่อนติดราคาเท่าไหร่ล่ะคะ?” (อ้าว ใครเป็นพนักงานขายกันแน่เนี่ย?) แต่เราก็บอกไปว่า “1,125 บาท” เธอก็เปลี่ยนคำตอบใหม่เป็นว่า “ตรงที่วางที่บันไดเลื่อนนั้นลด 70% ค่ะ” คราวนี้เราก็เริ่มงง ก็ตรงบันไดเลื่อนมันติดป้ายลด 50% นี่นา คุณพนักงานขายก็เปลี่ยนคำตอบอีกที บอกว่า “คือหนูยังไม่ทันได้เปลี่ยนป้ายราคาของที่วางตรงนี้ ให้เป็นราคาเดียวกับตรงที่วางตรงบันไดเลื่อนค่ะ” โห...แม่คุณ นี่มัน 6 วันผ่านมาแล้วนะจ๊ะ และวันนี้ (31ต.ค.) ก็เป็นวันสุดท้ายของโปรโมชั่นแล้ว หนูจะเปลี่ยนป้ายตอนหมดโปรโมชั่นแล้วหรือไงจ๊ะ? (อันนี้ไม่ได้พูดออกไป ได้แต่แดกดันอยู่ในใจ)

พอดีพนักงานขายผู้ชาย ที่ดูแลอยู่บริเวณพื้นที่พิเศษตรงบันไดเลื่อน เดินมาตรงนี้พอดี พนักงานขายหญิงก็เลยหันไปถามว่า “พี่ติดราคาคู่นี้เท่าไหร่?” (เอ๊ะ ทำยังกะไม่ได้เป็นพนักงานขายยี่ห้อเดียวกัน) พนักงานชายก็ตอบว่า 1,125 บาท เราก็เลยถามไปว่า “ถ้าไม่ได้เห็นราคาที่ติดตรงบันไดเลื่อนมาก่อน แล้วมาซื้อคู่นี้ ที่ตรงนี้เลย จะต้องจ่ายราคาไหน?” หนูพนักงานขายก็ยิ่งทำให้งงเข้าไปอีกโดยการตอบว่า “คือว่าของที่วางอยู่ที่ 2 พื้นที่นี้ใช้บาร์โค้ดไม่เหมือนกันค่ะ” เราก็เลยสงสัยว่า หรือว่ารองเท้าที่วางอยู่ตรงบันไดเลื่อนเป็นของมีตำหนิ หรือเปล่า ถึงได้ขายถูกกว่า และใช้บาร์โค้ดต่างกัน พนักงานขายก็บอกว่าของเหมือนกันค่ะ แค่วางคนละที่กัน บริเวณบันไดเลื่อนนั้น เป็นการเพิ่มพื่นที่วางขายเท่านั้น

อ้าวงั้นก็หมายความว่าถ้าชั้นซื้อตรงนี้ โดยที่ไม่รู้ว่ามีวางอีกที่นึงที่ราคาถูกกว่า ชั้นก็ต้องจ่ายราคาที่แพงกว่าน่ะสิ พนักงานขายผู้หญิงก็เงียบไป แล้วบอกว่า “งั้นถ้าพื่จะซื้อคู่นี้หนูจะคิดราคา 1,125 บาท เท่ากับของที่วางอยู่ตรงบันไดเลื่อนค่ะ” (เฮ้ย นี่ชั้นมาซื้อของที่จตุจักรเหรอเนี่ย มีการลดราคาให้เองได้ด้วย ยังไม่ทันได้ต่อราคาเลย) แล้วน้องพนักงานขายคนนั้น และพนักงานชาย ก็หันกลับไปคุยกันเอง โดยไม่หันมาพูดกับเราอีกเลย เรียกก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ทำเป็นเช็คสต๊อกกันให้วุ่นวาย

เราก็เลยของขึ้น ไปขอพบผู้จัดการแผนกรองเท้า (คุณผู้จัดการนี่ก็เต็มใจให้บริการมั่กๆ ก่อนจะเดินมาหาเรา ท่านผู้จัดการก็คุยโทรศัพท์มือถืออยู่ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยเดินมา ทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่าเรารออยู่ สงสัยกะจะให้เรารอจนเบื่อไปเอง แต่โทษทีน้อง ชั้นไม่ยอมไปง่ายๆ หรอกย่ะ!) เราก็เล่าเรื่องให้ฟัง และก็พาผู้จัดการไปเดินดูราคาสินค้าที่ติดไว้ทั้ง 2 ที่ ให้เห็นว่ามันต่างกันจริงๆ ปรากฏว่า ราคารองเท้าที่อยู่ที่พื้นที่ขายปกติ ที่เป็นราคา 1,325 บาท ได้ถูกแกะออกไปแล้ว ไม่มีสติ๊กเกอร์ราคาติดอยู่ที่รองเท้าแล้ว...

แต่ไม่เป็นไร เพราะคนสวยรอบคอบ ถ่ายรูปไว้แล้ว (ใช้มือถือถ่ายไว้อย่างรวดเร็วตอนที่พนักงานขาย 2 คนนั้นหันหลังกลับไปทำเป็นเช็คสต๊อก ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าน้องพนักงานขายจะต้องรีบแกะราคาออกอย่างด่วน เลยถ่ายรูปไว้ก่อน รูปไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะรีบมาก แต่ก็พอมองเห็นตัวเลขแหละ) เราก็เลยเอารูปให้คุณผู้จัดการดูเป็นหลักฐาน คุณผู้จัดการก็อึ้งๆ ไป แล้วบอกว่าจะตรวจสอบให้นะครับ เราก็เลยขอให้เขาช่วยบอกด้วย ว่าผลการตรวจสอบเป็นอย่างไร เค้าบอกว่าวันศุกร์นี้ (2 พ.ย.) จะติดต่อมา เราก็เลยขอเบอร์ติดต่อของคุณผู้จัดการ และขอชื่อพนักงานขาย 2 คนนั้นไว้ด้วย (เผื่อว่าถ้าเราโดนดักตีหัว หรือโดนสาดน้ำกรดละก็ จะได้เดาว่าคงต้องเป็นฝีมือของพวกนี้แน่นอน)

จบเรื่องแล้วผู้จัดการก็พยายามขายของต่อ “ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงต้องการสีอะไรครับ?” อืมม์ ซึ้งใจในวิญญานนักขายจัง แต่ก็ตอบไปจากใจจริงว่า “คงไม่ซื้อแล้วค่ะ เพราะเสียความรู้สึกไปแล้ว และไม่แน่ใจว่าของอื่นๆ ในห้างนี้ จะมีกรณีอย่างนี้อีกเยอะแค่ไหน”

ก็เลยมาบอกเพื่อนให้ระวังกันด้วยนะคะ เราว่าทางห้างทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ มันเอาเปรียบลูกค้าน่ะ ไอ้ประเภทที่เจอบ่อยๆ ที่สินค้าราคาลด 70% ก็เป็นราคาเดียวกับที่ลด 30% เมื่อเดือนที่แล้วน่ะ (คือราคาสุดท้ายเดียวกัน แต่ไปอัพราคาตั้งต้น ให้ดูว่าลดเยอะขึ้น) อันนั้นมันธรรมดาไปแล้ว ต้องเคสนี้แหละถึงจะแจ๋ว ดูตั้งใจดี ยิ่งการที่ใช้บาร์โค้ดต่างกัน สำหรับของอย่างเดียวกันนี่ ยิ่งชัดเจนว่าขายของชนิดเดียวกัน ด้วย 2 ราคา ทำกันระยะเผาขนเลย วัดดวงลูกค้าไง ตาดีได้ ตาร้ายเสีย แล้วก็น่าคิดนะ ว่าเงินส่วนต่าง 200 บาท จะไปตกอยู่ที่ใคร ทางห้าง? หรือว่าพนักงานขาย? (หรือผู้จัดการ?) เดี๋ยวถ้าคุณผู้จัดการไม่ติดต่อมานะ จะไปฟ้องส.ค.บ.เลยดีมั้ยเนี่ย...

...ว้าย! เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอบอกชื่อห้างไปแล้ว เลยมาลบออกค่า...(update 1 พ.ย.)

=====================================
มาอัพเดทเพิ่มเติมค่ะ วันนี้ (2 พ.ย.) ทางผู้จัดการแผนกรองเท้าสตรีโทรมาแจ้งว่า ตรวจสอบแล้ว ว่าทางห้างไม่มีนโยบายขายสินค้าอย่างเดียวกันที่ราคาต่างกัน ทั้งหมดนั้นเป็นความผิดพลาดของพนักงานขายหญิงซึ่งเป็นพนักงานของทางรองเท้ายี่ห้อนั้นเอง (ซัพพลายเออร์)

1) ไม่ใส่ใจในหน้าที่การงาน
เพราะเธอไม่รู้เรื่องโปรโมชั่น (ทั้งที่ผ่านมา 6 วัน จนถึงวันสุดท้ายของการ sale แล้ว) และตอบลูกค้ามั่วๆ

2) ไม่เปลี่ยนสติ๊กเกอร์ราคาให้ครบ

3) ไม่เปลี่ยนบาร์โค้ด
ตรงนี้ผิดพลาดอย่างแรง เพราะถ้าเราซื้อรองเท้าคู่นั้น (โดยไม่รู้ว่ามีขายอีกพื้นที่นึง ที่ขายถูกกว่า) ก็ต้องจ่ายตามบาร์โค้ดนั้น คือ 1,325 บาท ซึ่งทางห้างอาจถูกแจ้งความได้ว่าโกง

อย่างไรก็ตามผู้จัดการบอกว่านี่เป็นการทำผิดครั้งแรกของพนักงานหญิงคนนั้น และไม่ได้เป็นความผิดร้ายแรง พิสูจน์ไม่ได้ว่าเธอตั้งใจโกง เพราะการจ่ายเงินต้องผ่านแคชเชียร์ของห้าง และต้องมีใบเสร็จออกจากทางห้าง พนักงานขายไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเงินส่วนต่างนั้น (แต่เงินก็คงเข้าทางห้างไปนะ) ก็เลยตักเตือนทางเจ้าของยี่ห้อรองเท้า และน้องพนักงานขายหญิงไปก่อน และให้โอกาสอีกครั้ง

เพราะฉะนั้น สรุปว่าพวกเราต้องระวังเอง พยายามดูให้ทั่วๆ ก่อนที่จะซื้อ โดยเฉพาะ ของ sale เพราะทุกวันนี้มี sale เกือบทุกวัน ราคาเปลี่ยนตลอดเวลา เราคิดว่าคงมีความผิดพลาดอย่างเดียวกันนี้อีกหลายที่ เราระวังตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองดีกว่าค่ะ