ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมา
รายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่สอง กระทบธุรกิจของสองผัวเมีย
จนทรวดเซของขายไม่ได้มากเหมือนเก่าที่เอาอะไร มาวางก็ขายหมด
ปัญหาและวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลง
สองผัวเมียเริ่มมี ปากเสียงกันบ่อยครั้ง และแทบทุกครั้งลูกสะใภ้
ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล
โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปกป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด...
12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ ท้องฟ้ามืดครึ้ม
ไปด้วยพยับเมฆสลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะ ๆ ครู่ใหญ่ ๆ
ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่ม ฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง
ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับปล่อยแม่เฒ่า
เฝ้าร้านค้าคนเดียว แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมา
จอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด แม่เฒ่ารับเงินแล้วเดิน
เข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่
ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะกล่องช่วยกันแบก
ขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อย
สองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้าน ช่วยกันเก็บของเข้าร้าน
วางของทุกชิ้นเข้าที่ ๆ เคยวางเมื่อไม่เห็นลังบุหรี่
จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่าที่กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง
เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่าไม่เห็น ก่อนปักธูปลงกระถาง
เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน
ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้ กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่
กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน
ก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์
ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร แม่เฒ่าให้การ
ไม่รู้ด้วยซื่อบริสุทธิ์โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว
กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบแต่ในอก
ในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา
ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้ เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่สองผัวเมียกลับโยน
ภาระตอกย้ำให้ตำรวจอบรมแม่เฒ่า ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้าน
โดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ
สายฝนยงสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก
..
keep your dream in your head and catch it in your hand