สืบเนื่องจากกระทู้คุณ Itasian ที่ทำเอาเราอ่านแล้วน้ำตาร่วงเลย
http://sbntown.com/forum/showthread.php?t=99040
ยิ่งภาพที่ทุกคนนั่งเรียงกันริมสองข้างบันได ทั้งๆที่ไม่มีคนขึ้นลง
ยิ่งเห็นว่าคนเค้าดูแลห่วงใยกันขนาดนี้ แม้ในยามคับขันทุกคนก็ยังไม่เห็นแก่ตัว
สำหรับเราคำว่าวินัยในญี่ปุ่นมันคือการ คำว่า"น้ำใจ" คำว่า "นึกถึงผู้อื่นอยู่เสมอ" เพราะวินัยที่เค้าเลือกปฏิบัติกันนั้น คือการไม่เบียดเบียนผู้อื่น และ คือการ เลือกสละความสุข ความสบายบางอย่าง เพื่อไม่ให้คนอื่นต้องเดือดร้อน
แม้กระทั่งนั่งพัก ก็ไม่ใช่นึกเอาแต่สบายตัวเอง และ ไม่ลืมที่จะนึกถึงคนอื่นที่เค้าต้องเดินทาง โดยนั่งกันอย่างเป็นระเบียบ เผื่อว่าหากมีใครจะต้องรีบเดินทาง ความสบายของเรานั้นต้อง ไม่ไปสร้างความลำบากให้ผู้อื่นแม้แต่น้อย
ร้านขายบะหมี่ร้านหนึ่งในย่านที่เกิดภัยพิบัติ ให้บะหมี่ทานฟรีแก่ผู้ที่ผ่านไปมา
นักข่าวก็สัมภาษณ์ว่า ทำแบบนี้เพราะอะไร
เค้าตอบว่า "เพราะอยากเห็นผู้คนมีความสุข" T_T
และวันนี้ก็ได้อ่านบทความนึงที่ดีมากๆ ในCNN
เพราะหลายๆชาติ ต่างบอกว่าญี่ปุ่นดูไม่ตื่นตระหนกมาก คงเป็นเพราะว่าเจอแผ่นดินไหว และ เจอภัยพิบัติบ่อยๆ
แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่เลย พวกเค้านั้นรู้สึกเสียใจ ทุกทรมาน จนแทบขาดใจ เหมือนๆ กับที่พวกเราทุกคนรู้สึกได้ เวาที่ต้องสูญเสียสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตไป ...สูญเสียคนที่รัก สูญเสียที่อยู่อาศัยบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รัก
หลายๆคนที่อ่านบทความนี้ คงได้รับแง่มุมในการใช่ชีวิตบางอย่างของคนญี่ปุ่น ที่อธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดเค้าจึงดูเงียบสงบเช่นนี้ และ วิถีการปฏิบัติตัวต่อกันของคนชาตินี้ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างมากเีพียงใด
ลิงค์ข่าว
http://edition.cnn.com/2011/WORLD/as...der/index.html
(เลือกแปลมาบางส่วน)
Tokyo (CNN) -- I've been asked questions along this theme multiple times, from my friends and family in the United States to colleagues who work around the globe: How, amid Japan's worst natural disaster in 100 years, can the Japanese seem so calm?
Food and water are both scarce. Electricity in the tsunami zone is nearly nonexistent. Survivors have lacked information about their missing loved ones.
ฉันเคยถูกถามจากเพื่อนๆอเมริกาที่ทำงานอยู่ทั่วโลกว่า ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญ ภับพิบัติที่ใหญ่หลวงรุนแรงสุดในรอบร้อยปี ชาวญี่ปุ่นทำไมถึงได้ดูเงียบสงบอยู่ได้?
ทั้งๆที่ อาหาร และ น้ำ ก็ขาดแคลน ในบริเวณพื้นที่ ที่มีสึนามีก็แทบจะไม่มีไฟฟ้าใช้แล้ว แล้วคนที่รอดชีวิตก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่รักของตนเป็นตายร้ายดียังไง
But unlike other disasters where the world has observed looting, rioting and public outbursts of sorrow and rage, it has seen a country quietly mourning, its people standing patiently for hours in orderly lines for a few bottles of water.
มันไม่เหมือนกับ ภัยธรรมชาติที่อื่นเลย ที่มีแต่ความโกลาหลวุ่นวาย ปล้นสะดม และเสียงร้องครวนครางของความโกรธและความเสียใจ แต่ที่ญุ่ปุ่นมีเพียงเสียงคร่ำครวญเบาๆ และผู้คนที่พากันเข้าแถวด้วยความอดทนเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพียงเพื่อรอซื้อน้ำแค่ไม่กี่ขวด
Across Sendai's tsunami zone, both in the areas devastated and in the neighboring regions, you can see that Japan's societal mores have failed to break down, even if the tsunami destroyed the physical structure of this coastal community.
At stores across the city, long, straight lines of Japanese tsunami victims have been waiting for rations in the city. No one is directing these lines; they're organized by the people themselves.
At the front, which takes hours to get to in some cases, shoppers are limited to 10 food or beverage items. No complaints, no cheating.
ข้ามไปที่ เซนได บริเวณพื้นที่หลักที่เกิดสึนามี พื้นที่นี้ถูกสำนามีกลืนกินจนพังพินาศ แม้ว่าสิ่งปลูกสร้างนั้นจะถูกทำลายลงอย่างลงอย่างราบคาบ แต่ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นกลับยังคงแข็งแกร่ง
ร้านค้าในเมืองมีแถวของผู้ประสบภัยตั้งตรงทอดยาวเหยียด เพื่อยืนรอโควต้าอาหาร โดยที่ไม่มีใครบอกด้วยซ้ำว่าเค้าต้องเข้าแถวกันยังไง เค้าจัดการกันเอง
ในส่วนด้านหน้าคิว ซึ่งใช้เวลาหลายชั่นโมงมาก กว่าจะได้ซื้อของ แล้วแถมตอนซื้อ แต่ละคนก็ได้สิทธิ์ที่จะซื้อออาหารและเครื่องดื่มแค่คนละสิบชิ้น เท่านั้น... แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครบ่น หรือ โกง แม้แต่น้อย ซึ่งนั่นเป็นเพราะทุกคนรู้ว่า ต่างคนต่างก็ลำบาก จึงไม่มีใครคิดที่จะเอาเปรียบกันเลย T_T
At the Monterey Hotel in Sendai, two chefs dressed in their signature hats from the hotel restaurant spooned out hot soup for breakfast. All passers-by were invited to eat. For many, it was their first hot soup since the tsunami.
But what's notable is that the people who lined up for the soup took only one cup. They didn't get back in line for a second cup; that wouldn't be fair.
Even among the newly homeless from the tsunami, there is a sense of civility and community that creates pause among international onlookers.
ที่โรงแรม มอนเทอเร่ ในเซนได กุ๊กสองคน ใส่หมวกเครื่องแบบโรงแรม ออกมาตักซุปร้อนๆแจก ให้แก่ผู้คนที่เดินผ่าน (หลังเกิดแผ่นดินไหว ประชาชนหลายคนในพื้นที่ประสบภัย ต้องเดินทาง ถึงวันละสี่ชั่วโมง ด้วยการเดินเท้า)
และสำหรับหลายๆคน ที่คือซุปร้อนๆถ้วยแรกหลังจากแผ่นดินไหว (และตั้งแต่เมื่อวานนี้ที่ญุ่ปุ่นหนาวมาก มีหิมะตกหลายแห่ง แต่นี่คือซุปร้อนๆถ้วยแรกที่เค้าได้ดื่ม)
แต่ที่น่าทึ่ง และ น่านับถือมากๆ คือ ผู้คนที่เข้าแถวเพื่อมารับซุปนั้น ทุกคน รับซุปไปเพียงคนละถ้วย ไม่มีพวกทำเนียนเวียนกลับมาเข้าแถวเอาถ้วยที่สอง เพราะทุกคนรู้ว่าคนอื่นก็ลำบากอยู่เช่นกัน และการที่กลับไปรับอีกถ้วย จะไม่แฟร์เลยสำหรับคนที่ยังไม่ได้กิน T_T
Shichigo Elementary School in Sendai is now home to hundreds of tsunami victims. In a third-floor classroom, families have self-organized themselves on cardboard boxes and blankets. No one family has a larger space than the other, just as you see at any average family festival. Shoes are not allowed on the blankets in order to maintain sanitary conditions. Food is shared as equally as possible, even if one person eats or drinks a little less in order for everyone to have some sustenance.
ที่โรงเรียน ชิคิโกะ ตอนนี้ได้กลายเป็นที่พักสำหรับ เหยื่อสีนามีหลายร้อยคน
ที่ชั้นสาม มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ เค้าเอากล่องกระดาษมาปูนอนกัน และ ทุกครอบครัว แบ่งที่กันเอง "เท่าๆกัน" ไม่มีใครกินที่ใคร หรือ กินที่มากกว่าคนอื่น ทุกคนถอดรองเท้าเพือไม่ให้ผ้าห่มเปื้อน เพื่อรักษาความสะอาด อาหารก็แบ่งอย่างเท่าๆกัน และบางคนก็เลือกที่จะกินเพียงนิดเดียว เพื่อจะได้เหลือพอให้ทุกๆคนได้กิน ><~~~
Kingston calls the behavior of the Japanese "remarkable but not surprising."
"The Japanese, from a young age, are socialized to put group interest ahead of individual interest." Kingston said.
นาย Jeffrey Kingston, จาก Temple University บอกว่าพฤติกรรมเหล่านี้ช่างน่าจดจำ แต่ไม่น่าแปลกใจเลย
เพราะญี่ปุ่น ตั้งแต่เด็กๆพวกเค้าจะถูกสอนอยู่เสมอ ว่าให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตน
Sometimes, to foreigners, Japan's societal rules seems orderly and conformist to a fault. But no one can argue that in this disaster it is a tremendous benefit. I only need to think about my own home country dealing with triple disasters in the space of a few days to understand how Japan's society has characteristics that simply don't exist in any other large country.
บางครั้งแล้วสำหรับต่างชาติ กฏเกณและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นก็ดูจะผิดในความเห็นพวกเค้า แต่ก็นั่นแหละคงไม่มีใครกล้าเถียงหรอกว่ายามถึงคราภัยพิบัติแล้ว สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ฉันเองคงต้องคิดบ้างแล้วล่ะ ว่าถ้าบ้านเมืองของฉันต้องเจอภัยพิบัติซ้ำ้ซ้อนสามอย่าง ในเวลาไม่กี่วัน สังคมญี่ปุ่นเค้าปฏิบัติตัวรับมือได้ดีขนาดนี้ได้ยังไง เพราะพูดง่ายๆเลย คือ ประเทศใหญ่ๆอื่นๆเค้ายังทำไม่ได้กันเลย (ดูตัวอย่างจากตอนที่มี Katrina เข้าอเมริกาก็ได้ วุ่นวายโกลาหลมากๆ)
It would be a mistake, however, to say the self-control of the Japanese means they are stoic in the face of this historic disaster.
Mari Sato is hurting, but as a Japanese woman, she is doing her best to be reserved and dignified, prized by society as admirable qualities.
และมันคงจะผิดมากเลย หากจะมีใครบอกว่า การที่ญี่ปุ่นสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขนาดนั้น แปลว่า เค้าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยกับภัยพิบัติครั้งนี้
มาริ ซาโต้ เป็นผู้หญิง ญุ่นปุ่นคนหนึ่งที่รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียนี้ดี แต่เธอพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่แสดงออก ตามค่านิยมวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ มักจะสอนให้ผู้คนอดทนและเก็บซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดทุกทรมานไว้ภายใน
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเธอไม่รู้สึก...
Sato lived about two miles from the Sendai shore in a house neighbors easily recognized because of its signature pink roof. Three days after the tsunami, the newspaper ran before-and-after satellite images of her Sendai neighborhood. In the after picture, she says, there's only crushed brown rubble.
"The pink roof," Sato said, and began to quietly cry. Sato shook her head as she pointed to the bare section in the picture. "I never imagined a tsunami could do this."
Sato's tears fell down her face, dropping onto the newspaper revealing the devastation to her home. Sato apologized for her emotional display.
The Japanese victim hurts like any disaster victim in the world, but as she or he has been raised prefers to mourn as quietly and privately as possible.
มาริ ซาโต้ อาศัยอนู่ที่ชายฝั่งเซนได บ้านของเธออยู่ห่างจากฝั่งเข้ามาสองไมล์ และบ้านของเธอนั้นเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่าย เพราะมีเอกลักษณ์ด้วยหลังคาสีชมพูเด่น .. แต่สามวันหลังจากเกิดสึนามิ หนังสือพิมพ์ได้ตีพิมพ์ภาพบริเวณชายฝั่งเซนได ซึ่งเป็นภาพที่แสดงให้ เห็น เมืองเซนได ก่อน และ หลัง เกิดสีนามิ
พอซาโต้เห็นภาพนี้ เธอ พูดว่า.. "มันเหลือแต่ซากปรักหักพัง" ... "หลังคาสีชมพู" และเธอก็เริ่มร้องไห้ เธอชี้ไปที่ภาพร้องไห้ และ ส่ายหัว พร้อมกับชี้ไปที่ภาพที่เหลือแต่ที่ว่างเปล่าว่า "ฉันไม่เคยนึกเลยว่าสีนามิจะทำได้ขนาดนี้"
น้ำตาของเธอไหลอาบหน้า หยดลงบนหนังสือพิมพ์ที่มีรูปบ้านที่พังพินาศของเธอ"
เธอขอโทษที่แสดงอาการเสียใจออกไป...
เหยื่อสีนามิทุกคน เสียใจ และ เจ็บปวด เหมือนกับเหยื่อทางภัยพิบัติทุกๆคนในโลก เพียงแค่เค้าหรือเธอ เลือกที่จะคร่ำครวญเบาๆอยู่กับตัวเอง...
แต่ไม่ใช่ว่าเค้าหรือเธอไม่เสียใจ หรือ ทุกทรมาน
โดยเฉพาะครั้งนี้ที่คงมากกว่าหลายๆครั้ง แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และตามด้วยคลื่นสีนามิที่น่ากลัวที่สุดที่มนุษย์เคยพบเห็นกลืนกินเมืองทั้งเมือง และสารกัมมันตภาพรังสีที่กำลังแพร่กระจาย
JAPAN is crying...