Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Page 1 of 7 1 2 3 ... LastLast
Results 1 to 10 of 61

Thread: มีใครอยากฉีดกลูต้าบ้างมั้ยค่ะมาแบ่งปันความรู้กันค่ะ

  1. #1
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    Warning Points:
    0/5

    มีใครอยากฉีดกลูต้าบ้างมั้ยค่ะมาแบ่งปันความรู้กันค่ะ

    คือตัวเองเอาความรู้มาแบ่งปันเพื่อนๆที่คิดและไม่คิดที่อยากจะฉีดสารกลูต้าไธโอนนะค่ะ
    เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆในนี้บ้างไม่มากก็น้อยเพื่อประกอบการตัดสินใจ ว่าควรหรือ
    ไม่ควรอย่างไร ถ้าใครมีความรู้อยากมาร่วมแชร์ได้นะค่ะ แต่ตัวเองคิดว่ามันอันตรายเพราะ
    ไม่ผ่าน อย. ที่ไม่ผ่านเพราะอะไรค่ะ ....


    กลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?

    ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด

    กลูตาไธโอนในธรรมชาติ

    พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ

  2. #2
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    Warning Points:
    0/5
    เขียนโดย พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
    Tuesday, 22 April 2008
    กลูตาไธโอนคืออะไร
    สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอน จะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลง สามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ
    สารกลูตาไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง
    โดยสรุปสารกลูตาไธโอน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด
    การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
    สารกลูตาไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู
    ยาเม็ดกลูตาไธโอน ได้ผลจริงหรือ ?
    ในวงการของอาหารเสริม มีการนำสารกลูตาไธโอนมาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่างๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริม โดยหวังผลว่า จะสามารถเสริมและทดแทนปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่างๆ
    จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูตาไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ไม่ว่าจะกินครั้งละหลายๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมากๆ ก็ตาม
    กลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?
    ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด
    ภาวะที่ร่างกายขาดกลูตาไธโอน
    เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เอง แต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาดหรือมีกลูตาไธโอนไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อน ทำให้กลูตาไธโอนลดน้อยลงด้วยสาเหตุการถูกทำลายด้วยยารักษาหรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อย จะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่าย ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูตาไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ปริมาณกลูตาไธโอนในระบบเลือดจะต่ำมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
    กลูตาไธโอนในธรรมชาติ
    พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ
    เขียนโดย ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน เครือข่ายผู้พิการ ที่ 10:09 หลังเที่ยง

  3. #3
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    Warning Points:
    0/5
    เรื่องเล่าจากสาวเกาหลีนางหนึ่ง ที่อยากสวยจัด คลั่งทำศัลย
    กรรมมาก จนเข้าขั้นป่วยทางจิต นำน้ำมันพืชมาฉีดหน้า นอก
    จากจะไม่ได้ทำให้สวยขึ้นแต่กลับทำให้หน้าเละ เป็นอุทาหรณ์
    ์สอนใจให้กับคนที่รักสวยรักงามได้เป็นอย่างดี
    แต่ไม่ใช่แค่สาวเกาหลีเท่านั้น ที่คลั่งการฉีดสารต่าง ๆ เพื่อให้
    ้ตัวเองสวยเท่านั้น แม้แต่ฝรั่งยังแห่ไปฉีดสารที่ทำให้มีผิวสี
    แทนกันเป็นแถว
    ส่วนสาวไทยก็ไม่ยอมน้อยหน้า พากันไปฉีดสารที่เรียกว่า
    กลูตาไธโอน เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผิวขาวใส ดูเปล่งปลั่ง
    สารกลูตาไธโอนมีคุณสมบัติอย่างนั้นจริงหรือ แล้วสาร
    กลูตาไธโอนคืออะไร วันนี้เราจะไปรู้จักด้วยกัน
    กลูตาไธโอนคืออะไร
    สารกลูตาไธโอน เป็นสารอาหารธรรมชาติที่ร่างกายเราสามารถสร้างได้ จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เช้นเนื้อสัตว์ ผักสีเขียวรวมถึงสมุนไพรบางชนิดอย่างอบเชย ทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระ หรือสารพิษต่าง ๆ จากร่างกาย ช่วยป้องกันและเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายเราได้อีกด้วย
    กลูตาไธโอน ทำให้ขาวได้จริงหรือ
    ปัจจุบันยังไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และแพทยสภาว่าสามารถทำให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่
    นอกจากนี้ นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ยังออกมาเตือนสาว ๆ ด้วยว่า หลักสำคัญข้อเดียวคือ เมื่อมีการฉีดสารใด ๆ ก็ตามเข้าสู่ร่างกายแล้ว ร่างกายจะต้องสามารถเอาออกมาได้ ถ้าเอาเข้าไปแล้วเอาออกมาไม่ได้ ถือว่ายังไม่ปลอดภัย เพราะร่างกายจะถือว่าสารเหล่านั้นเป็นสิ่งแปลกปลอม ซึ่งจะทำปฏิกิริยาปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมนั้น ๆ เหมือนกับที่สาวเกาหลีหน้าเสียโฉมเพราะร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านนั่นเอง
    กลูตาไธโอนแพร่หลาย จนสามารถหามาฉีดเองได้
    ข้อนี้เป็นอันตรายมาก ๆ เพราะมีเว็ปไซต์บางเว็ปประกาศขายสารกลูตาไธโอนตั้งแต่หลักร้อย ไปจนถึงหลักหมื่น แถมยังแนะนำวิธีการฉีดและอวดอ้างสรรพคุณ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ จนมีคนหลงเชื่อและซื้อไปฉีดหรือซื้อไปกินเพื่อให้ผิวขาวมากแล้ว
    การหาซื้อสารที่ยังไม่มีการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาฉีดเองนั้น นอกจากจะไม่รู้ที่มาที่ไปแน่ชัดแล้ว สารที่ได้อาจเป็นของปลอม เมื่อเราฉีดเข้าไปแทนที่จะสวยอาจกลายเป็นเสียโฉมได้ แถมยังเสียรู้และเสียเงินฟรีอีกด้วย
    อยากสวยอยากแต่ง สามารถทำได้ แต่ต้องมีสติและรู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้แอบอ้าง และรู้จักความพอดี และพอใจกับสีผิวของตัวเองดีที่สุด

  4. #4
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    Warning Points:
    0/5
    ไขความจริง 'กลูตาไธโอน' สารทำให้ผิวขาว
    หลายคนคงเคยได้ยินข่าวการฉีดสารกลูตาไธโอน สารที่ทำให้ผิวขาวกันมาบ้างแล้ว แต่ทราบหรือไม่ว่า สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกาย และเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย การฉีดสารดังกล่าวเข้าไปอาจทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบได้ จริงอยู่ที่สารกลูตาไธโอนทำให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่ก็มีโทษอยู่เหมือนกัน และจะยิ่งอันตรายหากฉีดสารกลูตาไธโอนด้วยตัวเอง ดังนั้น คอลัมน์ “หมอรามาฯไขปัญหาสุขภาพ” วันนี้ จะมาเผยความจริงของสารกลูตาไธโอนเพื่อให้เป็นข้อมูลการตัดสินใจก่อนที่ใครหลายคนจะเริ่มฉีด

    กลูตาไธโอนคืออะไร จำเป็นต่อร่างกายหรือไม่

    กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกาย ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เอง จากอาหารประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผักผลไม้ประเภท หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด และวอลนัท ร่างกายจะเก็บกลูตาไธโอนที่สร้างขึ้นไว้ที่ตับ สามารถพบกลูตาไธโอนได้ในทุกเซลล์ของร่างกาย

    กลูตาไธโอนมีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีและอีได้มากขึ้น เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยผ่านการสร้างเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ และช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย

    ใช้ในทางการแพทย์อย่างไร ช่วยให้ผิวขาวจริง หรือไม่

    มีรายงานการใช้ในรูปแบบฉีดหลายกรณี ทั้งใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ฉีดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดระหว่างผ่าตัด รักษาโรคทางระบบประสาท ขับพิษจากโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ยาพาราเซตามอลเกินขนาด ใช้เพิ่มภูมิต้านทานในผู้ป่วยเอดส์และมะเร็ง ในบางประเทศได้ขึ้นทะเบียนกลูตาไธโอนเป็นยาบางประเทศอนุญาตให้ใช้เป็นอาหารเสริม แต่สำหรับในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกลูตาไธโอนเป็นยา และไม่อนุมัติให้ใช้สารชนิดนี้ในรูปแบบฉีด

    หากถามว่าช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่ ต้องบอกว่า เดิมทีกลูตาไธโอนถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ฉีดเพิ่มภูมิต้านทาน รักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แต่กลับพบว่าผู้ป่วยมีผิวขาวขึ้น มีสีผมอ่อนลงหลังฉีดยา จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการนำมาฉีดเพื่อทำให้ผิวขาวกันมากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว หากร่างกายได้รับกลูตาไธโอนมากเกินไป ก็จะไปกดการสร้างเม็ดสีของผิวทำให้ผิวขาว ซึ่งอธิบายได้จาก

    ปกติในร่างกายคนเรา เซลล์สร้างเม็ดสี (melano cyte) จะผลิตเม็ดสีเมลานินอยู่ 2 ชนิด ผิวคล้ำแบบคนเอเชียหรือคนไทย จะมีเม็ดสีขนาดใหญ่ เรียกว่า ยูเมลานิน (Eumelanin) คนผิวขาวแบบฝรั่ง จะมีเม็ดสีขนาดเล็กกว่า เรียกว่า ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) เมื่อร่างกายเราได้รับ กลูตาไธโอนปริมาณมาก จะไปกดการสร้างยูเมลานินตามปกติลง เปลี่ยนเป็นสร้างฟีโอเมลานินเพิ่มขึ้นชั่วขณะ ผิวจึงดูขาวขึ้น แต่เนื่องจากกลูตาไธโอน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมของ เซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์สร้างเม็ดสีก็กลับไปสร้างเม็ดสียูเมลานินมากตามปกติเหมือนเดิม


    ดังนั้น ผู้ที่ฉีดกลูตาไธโอนเพื่อให้ผิวขาวขึ้น จำเป็นต้องฉีดในปริมาณมากกว่าขนาดที่ใช้รักษาตามปกติหลายเท่าตัวเป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน จึงไม่จัดเป็นการดีท็อกซ์ และอาจมีอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้

    มีอันตรายจากการใช้ หรือมีผลต่อชีวิตอย่างไรบ้าง

    ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาใด ๆ ก็ตามเข้าเส้นเลือดดำ ล้วนมีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้ตัวยาเอง หรืออาจจะแพ้สารฆ่าเชื้อ สารกันเสีย สารปนเปื้อน ซึ่งจากรายงานในต่างประเทศพบว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดกลูตาไธโอนขนาดสูง มีอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที นอกจากนี้ก็ยังพบว่า มีการนำสารกลูตาไธโอน ที่ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รวมทั้งยาปลอมที่ผลิตที่เวียดนาม และ จีน มาจำหน่ายและใช้อย่างผิดกฎหมาย

    การฉีดกลูตาไธโอน มักให้ร่วมกับวิตามินซีขนาดสูง เพื่อกระตุ้นให้ ออกฤทธิ์ ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งการฉีดวิตามินซี ในขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึน ศีรษะคล้ายจะเป็นลมได้ หากใช้ กลูตาไธโอนในผู้ป่วยมะเร็ง อาจทำให้ประสิทธิภาพของเคมีบำบัดลดลง การได้รับสารกลูตาไธโอนปริมาณมาก มีผลทำให้ขบวนการต้านอนุมูลอิสระของร่างกายเสียสมดุล กลายเป็นอนุมูลอิสระ กลับมาทำร้ายร่างกายได้

    แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ปัจจุบันมีการ โฆษณาขายกลูตาไธโอนอย่างแพร่หลายทางอินเทอร์เน็ตราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ที่มีการแนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณจนทำให้คนที่อยากขาว เกิดความสนใจและซื้อหาไปทดลองฉีดกันเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ ติดเชื้อ และปัญหา อื่น ๆ ตามมาอีกมาก

    ข่าวที่ออกมาว่าใช้สารกลูตาไธโอนแล้ว จะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง จริงหรือไม่

    สำหรับข่าวการใช้สารกลูตาไธโอนแล้ว จะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง สามารถอธิบายได้ว่า การที่ร่างกายได้ รับสารกลูตาไธโอนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เม็ดสีเมลานิน ทั้งที่ผิวหนังและที่จอตาลดลง ทำให้จอตารับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต ทางวารสารทางการแพทย์สหรัฐอเมริกาจึงได้จัดว่า สารกลูตาไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา ส่วนเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง จะทำหน้าที่เหมือนฟิล์มกรองแสงที่ผิวหนัง หากเม็ดสีที่ผิวหนังลดลง ร่างกายก็ขาดเกราะป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็ว และแก่เร็วขึ้น รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนังด้วย ดังนั้น ถึงแม้ตัวสาร กลูตาไธโอนเองจะเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตปริมาณมากกลับอันตรายยิ่งกว่า

    เหตุใดจึงต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดโดยตรง

    กลูตาไธโอนมีทั้งชนิดฉีด ชนิดพ่น และชนิดรับประทาน ซึ่งอย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าสารชนิดนี้ หากรับประทานจะถูกย่อยไปก่อนการดูดซึม จึงมีผู้พยายามลองใช้ในปริมาณสูง ๆ เพื่อหวังว่าจะดูดซึมได้บ้าง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาใดบอกว่า ต้องกินมากแค่ไหนจึงจะดูดซึมได้ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าปริมาณที่กินมาก ๆ นั้น จริง ๆ แล้วดูดซึมได้หรือเปล่า และผลข้างเคียงระยะยาวมีอะไรบ้าง



    ส่วนยาชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าเส้นเลือดโดยตรง น่าจะเพิ่มขนาดยาได้แน่นอนกว่า แต่ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้ได้ กลูตาไธโอนชนิดฉีดมีใช้ในคลินิกเอกชนมานานแล้ว แต่ยังไม่มีการใช้ในโรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ เพราะไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว นอกจากนี้ การฉีดยังเป็นการ เพิ่มสารกลูตาไธโอนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อาจทำให้ผิวขาวขึ้นได้ในเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้น สีผิวก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม จึงต้องทำให้ฉีดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

    สุดท้ายนี้ ผู้บริโภคไม่ควรตกเป็นเหยื่อของคำโฆษณาใด ๆ ที่อวดอ้างว่าจะสามารถช่วยทำให้ผิวขาวขึ้นได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาที่ใช้ อาจช่วยได้เพียงชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ ร่างกายก็กลับไปผลิตเม็ดสีตามปกติ ทั้งนี้การที่ประชาชนในแถบเอเชียหรือประเทศเขตร้อน มีผิวคล้ำ ถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะสามารถป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ได้ ทำให้โอกาสการเกิดมะเร็งผิวหนังของเราน้อยกว่าคนผิวขาว จึงไม่ควรมีค่านิยมที่ผิดในการเปลี่ยนสีผิวให้ผิดธรรมชาติ.

    อ.พญ.ชนิตว์วัณณ์ ตรีวิทยาภูมิ

    หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์

    คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

    ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์

  5. #5
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    Warning Points:
    0/5
    อันตรายจากสารกลูตาไธโอน
    หัวข้อ : "ฉีดผิวขาว" ย้ำอันตราย "ถึงตาย" สยามฯขึ้นป้ายเกลื่อน ข่าวจั๊ว!!

    --------------------------------------------------------------------------------

    อย.เตรียมประสานกองประกอบโรคศิลปะลุยจับคลินิกเสริมความงามใช้สาร"กลูตาไธโอน" ทำดีท็อกซ์หน้าขาว-ตัวขาว เลขาฯ อย.ยัน ไม่เคยอนุญาตให้ใช้สารดังกล่าวฉีดเข้าเส้นเลือด ชี้หากเกินขนาดอันตรายถึงตาย จี้แพทยสภาเอาผิดหมอ ขณะที่สถาบันเสริมความงามย่านสยามสแควร์เปิดให้บริการฉีดสารทำดีท็อกซ์หน้าขาว-ตัวขาวเกลื่อน แฉแห่ฉีดจนยาหมดเกลี้ยง

    หลังจาก "คม ชัด ลึก" นำเสนอข่าวสถานเสริมความงามบางแห่งลักลอบนำเข้าสารกลูตาไธโอนฉีดให้ลูกค้าเพื่อเพิ่มความขาวให้กับผิวพรรณ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตรายเพราะสารดังกล่าวไม่ได้ยื่นขออนุญาตหรือขอจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แต่อย่างใด ล่าสุด เลขาธิการ อย. เตรียมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกกวาดล้างจับกุมสถานเสริมความงามและบุคคลที่เกี่ยวข้องในการนำสารกลูตาไธโอนเข้ามาใช้ในประเทศไทยแล้ว โดยเมื่อวันที่26 พฤศจิกายน นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการ อย. กล่าวว่า อย.ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนหรืออนุญาตให้นำเข้าสารกลูตาไธโอน และเชื่อว่าผู้ที่นำสารดังกล่าวเข้ามาใช้ลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งนี้สารดังกล่าวใช้สำหรับบำบัดรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร โดยนำไปผสมกับสารตัวอื่นๆ ก่อน ซึ่งต้องใช้โดยแพทย์เท่านั้น เพราะอาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งคุณสมบัติของสารดังกล่าวไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อฉีดให้ผิวขาวแต่อย่างใด



    การนำสารกลูตาไธโอนมาฉีดเพื่อให้ผิวขาวไม่ว่าจะฉีดโดยคลินิกหรือร้านเสริมความงาม ถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังถือเป็นความผิดทางกฎหมาย เนื่องจากทาง อย.ไม่เคยขึ้นทะเบียนสารดังกล่าวในประเทศไทย และไม่ได้อนุญาตให้มีการนำเข้า ซึ่งหากพบจะถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา มีความผิดการโฆษณาเกินจริง มีโทษปรับถึง 1 แสนบาท นอกจากนี้ยังเป็นการขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว เลขาธิการอย. กล่าวด้วยว่า สารกลูตาไธโอน หากเป็นชนิดรับประทาน กำหนดให้ทานได้ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วย แต่จากการสำรวจตามเว็บไซต์ที่มีการขายสารชนิดนี้โดยมุ่งให้ผิวขาวนั้น มีแนะนำให้รับประทานถึง 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเกินไป อาจทำให้เกิดอาการแพ้ยาจนเป็นอันตรายได้

    เลขาธิการอย.กล่าวด้วยว่า จะร่วมกับกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อดำเนินการกวาดล้างจับกุมผู้ที่นำสารดังกล่าวมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจะดำเนินคดีสถานหนัก และหากพบว่าผู้ที่นำมาใช้เป็นแพทย์จะร้องเรียนไปยังแพทยสภาเพื่อให้ดำเนินการเอาผิดทางจรรยาบรรณแพทย์ต่อไป
    นายวินิตอัศวกิจวิรี ผู้อำนวยการกองควบคุมยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า สารกลูตาไธโอนที่ใช้เป็นตัวยาฉีดเข้าร่างกายนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการขอขึ้นทะเบียนกับกองควบคุมยา หากแพทย์นำไปฉีดให้คนไข้ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แม้จะเป็นตัวยานำเข้าหรือลักลอบซื้อมาจากต่างประเทศก็ผิดกฎหมายทั้งสิ้น เพราะยังไม่ขึ้นทะเบียนกับ อย. การนำสารหรือยาที่ไม่ขึ้นทะเบียนรับรองถูกต้องมาฉีดให้คนไข้ อาจเป็นการทดลองยารูปแบบหนึ่งก็ได้ ขอเตือนให้ประชาชนระวัง อย่าหลงกับคำอ้างว่าผ่าน อย.แล้ว ส่วนที่อ้างว่าสารกลูตาไธโอนผ่านการรับรองจาก อย.นั้น ก็เป็นเพียงอนุญาตให้ใช้ในรูปแบบกรดอะมิโน ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อใช้กินร่วมกับวิตามินเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายเท่านั้น ไม่เคยอนุญาตให้เป็นยาเดี่ยวหรือยาฉีดเข้าร่างกายแต่อย่างใด



    นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดก่อน ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ในขณะนี้ว่า จะเอาผิดกับแพทย์ที่นำสารดังกล่าวมาใช้อย่างไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมามียาหลายชนิดที่แพทย์นำผลข้างเคียงมาใช้กับผู้ป่วย อย่างเช่น ยาแก้แพ้ ก็มีการสั่งนำมาใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการคันตามร่างกายเพื่อให้ผู้ป่วยหลับและไม่คัน ขณะที่ศ.นพ.นิวัติ พลนิกร ประธานวิชาการสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ ให้ข้อมูลว่า สารกลูตาไธโอนมีเพื่อรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ปกติแพทย์จะใช้ในปริมาณเพียง 200 มิลลิกรัมต่อครั้ง แต่กลุ่มคลินิกเสริมความงามได้นำมาใช้เป็นสารผสมกับวิตามินซี เพื่อฉีดให้ผิวขาวขึ้น โดยจะใช้สารกลูตาไธโอนสูงถึง 600-1,000 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดดำโดยตรง ซึ่งมากกว่าปกติ 3-5 เท่า

    ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องใช้ปริมาณมากขนาดนั้น ก็เพื่อให้ได้ผลและเห็นผลรวดเร็วว่าผิวดูขาวขึ้นจริง ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก อยากเตือนให้แพทย์ด้านศัลยกรรมความงามเลิกใช้สารกลูตาไธโอนฉีดให้วัยรุ่นเพื่อเปลี่ยนสีผิวให้ขาวขึ้น เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย หากผู้ป่วยเกิดอาการแพ้รุนแรงหรือช็อกเสียชีวิต จะสร้างความเสียหายให้แก่แพทย์ที่ฉีดเอง



    วันเดียวกันผู้สื่อข่าว"คม ชัด ลึก" ได้ออกสำรวจคลินิกเสริมความงามย่านสยามสแควร์ แหล่งรวมวัยรุ่น พบว่าคลินิกชื่อดังหลายแห่งล้วนมีโปรแกรมฉีดสารกลูตาไธโอน โดยอ้างว่าเป็นการ "ฉีดดีท็อกซ์หน้าขาว ตัวขาว" สนนราคาเข็มละ 1,600-4,000 บาท และต้องฉีดอย่างน้อย 3-5 เข็ม แล้วแต่สีผิวของลูกค้า พร้อมกับอ้างสรรพคุณว่า จะทำให้ผิวทั่วเรือนร่างขาวกระจ่าง สดใส ไร้รอยด่างดำ โดยเฉพาะผิวใต้วงแขน ริมฝีปาก ตลอดจนทำให้หัวนมขาวอมชมพู

    ยิ่งไปกว่านั้นคลินิกเสริมความงามชื่อดังที่มีหลายสาขาแห่งหนึ่งอ้างว่า การฉีดสารกลูตาไธโอนเป็นการดีท็อกซ์หรือฟื้นฟูร่างกาย ทำให้มีรังสีออร่าทั่วเรือนร่าง และผิวจะขาวขึ้นเหมือนดารา เมื่อผู้สื่อข่าวเข้าไปสอบถามรายละเอียด เจ้าหน้าที่ประจำคลินิกให้ข้อมูลว่า ต้องฉีดอย่างน้อย 5 เข็ม ถึงจะเห็นผล และต้องฉีดทั้งหมด 10 เข็ม รวมเป็นเงิน 3 หมื่นบาทต่อคอร์ส พร้อมกับรับรองว่า แค่ฉีดเพียงเข็มแรกก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีผิว ซึ่งจะมีสีขาวขึ้น แต่ต้องมาฉีดทุกสัปดาห์ ต่อเนื่องกัน 10 สัปดาห์

    เจ้าหน้าที่คลินิกชื่อดังบอกด้วยว่าตอนนี้โปรแกรมฉีดดีท็อกซ์ผิวขาว หรือฉีดสารกลูตาไธโอนผสมกับวิตามินซี กำลังเป็นที่นิยมของลูกค้าวัยรุ่นอย่างมาก โดยตัวยาที่สั่งซื้อจากเยอรมนีได้ฉีดให้ลูกค้าหมดแล้วภายในหนึ่งสัปดาห์ หากต้องการฉีดต้องรออย่างน้อย 3 วัน จนกว่าตัวยาชุดใหม่ที่สั่งซื้อจะมาถึง ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่คลินิกเลเซอร์ด้านความงามอีกแห่ง บอกว่า หากต้องการเห็นผลเร็วสามารถฉีดได้เลย 2 เข็มพร้อมกัน ราคาเข็มละ 2,200 บาท

    ด้านแพทย์ประจำคลินิกศัลยกรรมชื่อดังอีกแห่งหนึ่งอ้างว่า การฉีดสารกลูตาไธโอนเป็นเหมือนการฉีดโปรตีนเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือด ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย นอกจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด ความดัน หรือโรคหัวใจ หากฉีดประมาณ 5 เข็ม จะช่วยให้ผิวขาวใสได้ยาวนานถึง 6 เดือน แต่ต้องมีการดูแลรักษาผิวโดยทาโลชั่นเพิ่มเติม ตอนนี้วัยรุ่นกำลังฮิตมาก มาฉีดวันละหลายราย ส่วนลูกค้าใหม่ที่มาลองฉีดเข็มแรกแล้วเห็นผลก็มาขอฉีดซ้ำอีก

    นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังตรวจสอบตามเว็บไซต์ซื้อขายสินค้า พบว่าหลายเว็บไซต์มีผู้นำสารกลูตาไธโอนในลักษณะของยาฉีดมาประกาศขาย อ้างว่านำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศ เช่น เยอรมนี อิตาลี โดยตั้งราคาขายชุดละ 3,800 บาท ซึ่งชุดหนึ่งจะมีสารกลูตาไธโอน 600 มิลลิกรัม 10 หลอด นอกจากนี้ยังมีผู้มาประกาศขอซื้อสารกลูตาไธโอนที่มีปริมาณหลอดละ 3,000 มิลลิกรัมด้วย โดยอ้างว่าซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่าง "ไมเคิล แจ็กสัน" ได้ฉีดในปริมาณสูงถึง 3,000 มิลลิกรัม อย่างต่อเนื่อง



    ที่มาจากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก

  6. #6
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    167
    Warning Points:
    0/5
    เข้ามาดูครับ...
    When you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth

    Sherlock Holmes

  7. #7
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    Warning Points:
    0/5
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากค่ะ

  8. #8
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    12
    Warning Points:
    0/5
    Quote Originally Posted by mamy_sas View Post
    อันตรายจากสารกลูตาไธโอน
    หัวข้อ : "ฉีดผิวขาว" ย้ำอันตราย "ถึงตาย" สยามฯขึ้นป้ายเกลื่อน ข่าวจั๊ว!!

    --------------------------------------------------------------------------------
    เลขาธิการอย.กล่าวด้วยว่า จะร่วมกับกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อดำเนินการกวาดล้างจับกุม ผู้ที่นำสารดังกล่าวมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจะดำเนินคดีสถานหนัก และหากพบว่าผู้ที่นำมาใช้เป็นแพทย์ จะร้องเรียนไปยังแพทยสภา เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดทางจรรยาบรรณแพทย์ต่อไป

    นายวินิตอัศวกิจวิรี ผู้อำนวยการกองควบคุมยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า สารกลูตาไธโอนที่ใช้เป็นตัวยาฉีดเข้าร่างกายนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการขอขึ้นทะเบียนกับกองควบคุมยา หากแพทย์นำไปฉีดให้คนไข้ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แม้จะเป็นตัวยานำเข้าหรือลักลอบซื้อมาจากต่างประเทศก็ผิดกฎหมายทั้งสิ้น เพราะยังไม่ขึ้นทะเบียนกับ อย.
    การนำสารหรือยาที่ไม่ขึ้นทะเบียนรับรองถูกต้องมาฉีดให้คนไข้ อาจเป็นการทดลองยารูปแบบหนึ่งก็ได้ ขอเตือนให้ประชาชนระวัง อย่าหลงกับคำอ้างว่าผ่าน อย.แล้ว ส่วนที่อ้างว่าสารกลูตาไธโอนผ่านการรับรองจาก อย.นั้น ก็เป็นเพียงอนุญาตให้ใช้ในรูปแบบกรดอะมิโน ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อใช้กินร่วมกับวิตามินเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายเท่านั้น ไม่เคยอนุญาตให้เป็นยาเดี่ยวหรือยาฉีดเข้าร่างกายแต่อย่างใด

    ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องใช้ปริมาณมากขนาดนั้น ก็เพื่อให้ได้ผลและเห็นผลรวดเร็วว่าผิวดูขาวขึ้นจริง ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก อยากเตือนให้แพทย์ด้านศัลยกรรมความงาม เลิกใช้สารกลูตาไธโอนฉีดให้วัยรุ่น เพื่อเปลี่ยนสีผิวให้ขาวขึ้น เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย หากผู้ป่วยเกิดอาการแพ้รุนแรงหรือช็อกเสียชีวิต จะสร้างความเสียหายให้แก่แพทย์ที่ฉีดเอง

    ที่มาจากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
    อ๋อ..มี่สงสัยว่าทำไม หมอที่มี่เคยคิดจะไปฉีดด้วย
    ตอนนี้เค้าหยุดรับงานชั่วคราว เพราะกลัวงานจะเข้านี่เอง (กลัวโดนปลดจากอาชีพ)
    กะว่าจะไปลอง ฉีดสักเข็ม สองเข็มซะหน่อย

    แต่เมื่อได้อ่านข้อมูลที่ จขกท.มาลง สงสัยคงต้องตัดสินใจใหม่ซะแล้ว
    คงต้องหาข้อมูล และถามคนที่เคยฉีดซะก่อน ว่ามีอันตรายบ้างไหม เพราะกลัวอายุสั้น

    ขอบคุณ จขกท.ค่ะ ที่มาให้ข้อมูล ดีจัง...จะได้มีข้อมูลหลายๆ ทางในการตัดสินใจ
    ชาวปากน้ำรักชาติยิ่งชีพ

  9. #9
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    406
    Warning Points:
    0/5
    ขอบคุณที่นำมาฝากค่ะ เราขอออกความเห็นส่วนตัวจากคนผิวขาวคนนึงนะคะ
    เราเป็นคนที่หลายคนบอกว่าผิวดี แต่เรากลับรู้สึกว่า มันไม่ใช่ทั้งหมดอ่ะค่ะ
    เพราะเราแค่ขาว แต่เราไม่ได้เนียน ละเอียด ใส ผิวหน้าเราก็เป็นสิว ผิวตัวก็แห้ง ฯลฯ
    คือขาวอย่างเดียวเอง หลายครั้งเราเห็นเพื่อนเราที่ผิวคล้ำ บางคนดำเลยก็ว่าได้
    แต่ผิวเค้าเนียนใสละเอียดทั้งตัวและใบหน้า เรากลับรู้สึกว่านี่แหล่ะ ผิวดีของจริง และก็ดุสวย มีออร่า มากๆ

    จริงๆแล้วเราว่าผิวสีอะไรก็สวยได้อ่ะค่ะ ขอแค่ผิวเนียนละเอียดใส ก็คือ มีออร่า ทั้งนั้น
    แค่ขาวมันไม่ได้ทำให้สวยขึ้นเท่าไหร่สำหรับเรานะคะ
    แต่เราอยากให้ผิวใสนะ ไม่รู้ว่าใส=ขาวรึป่าวอ่ะ แต่เราชอบผิวใสมากกว่าขาวนะ มันดูบลิ๊งๆกว่า
    เราทำถูกกิเลสเขา...เขาก็ว่า...เราดี
    เราไม่ทำถูกกิเลสเขา...เขาก็ว่า...เราไม่ดี

  10. #10
    Join Date
    May 2010
    Posts
    4,386
    Warning Points:
    0/5
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ค่ะ ถ้าอย่างนั้น ขออยู่อย่างปลอดภัยแต่ "ดำเป็นเหนี่ยง" ดีกว่าเสี่ยง "ขาวเผือก" แต่ไม่ปลอดภัยค่ะ อาจเป็นเพราะว่าคนเราให้ค่านิยมว่า ผิวขาวดูสะอาดหมดจด ดูมีราศี ผิวดำผิวคล้ำดูสกปรกไม่สดใส เลยทำให้คนอยากผิวขาวกันมากขึ้น ความคิดส่วนตัวแล้ว ไม่ว่าจะดำจะขาว ยังไงก็สู้ผิวใสเนียนไม่ได้ ดูอย่างการประกวดนางงามซิคะ เคยเห็นแต่มีรางวัลนางงามผิวสวย ไม่เคยเห็นมีการให้รางวัลนางงามผิวขาวเลย ดูแลรักษาสุขภาพตัวเองจากภายในดีกว่า กินอาหารครบถูกตามสุขลักษณะอนามัยเป็นประจำ แค่นี้ก็ไม่ต้องพึ่งยาใด ๆ แล้วค่ะ แล้วอีกอย่างคนเราธรรมชาติ กรรมพันธุ์ให้มายังไงก็เป็นแบบนั้นดีที่สุด อย่าฝืนธรรมชาติเลยค่ะ
    ป.ล. ที่มาของคำว่า "เหนี่ยง" เพิ่งรู้เหมือนกันค่ะ
    ชื่อด้วงปีกแข็งชนิด Hydrophilus bilineatus ในวงศ์ Hydrophilidae ลําตัวรูปไข่ แบนเล็กน้อย ตัวยาวประมาณ ๓.๕ เซนติเมตร กว้างประมาณ ๑.๕ เซนติเมตร สีดําตลอดตัว มีหนามแหลมที่ด้านล่างของอกยาวยื่นไปถึงส่วนท้อง อาศัยอยู่ตามแหล่งนํ้าต่าง ๆ โดยปริยายใช้เรียกผู้ที่มีผิวดำคล้ำโดยธรรมชาติหรือเพราะถูกแดดถูกลมมากว่าตัวดำเป็นเหนี่ยง.

Page 1 of 7 1 2 3 ... LastLast

Comments from Facebook

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •