เหนด้วยและชอบมากกับความเห็นนี้คะ
เห็นด้วยมากๆค่ะ
อยากแสดงความเห็นบ้าง แต่ก็กลัวจะแรงไป... เอาเป็นว่า เขียนออกมาประมาณนี้แล้วกันนะคะ ลองอ่านแล้วทบทวนดูก็ได้ค่ะไม่ทราบจะมีประโยชน์ต่อคุณจขกทบ้างหรือเปล่า
การให้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่นั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่มีพ่อแม่อีกมากมายที่บังคับลูก และใช้ความรักที่ลูกมอบให้มาหลอกใช้ลูกตัวเอง
พ่อแม่มีบุญคุณที่ให้กำเนิดลูก เลี้ยงดูลูกด้วยความรักเนี่ยมีเยอะแยะ ส่วนพ่อแม่ที่ให้กำเนิดลูกมาเพื่อ "ใช้งาน" "เอาไว้หารายได้ให้" ก็มีเยอะแยะเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์มามากมายหรอกค่ะ ว่ามีพ่อแม่ขายลูกกิน บังคับลูกไปขายตัวบ้าง ไปทำอาชีพผิดกฏหมายบ้าง เคสเหล่านี้อาจฟังดูไม่เกี่ยวกับคุณจขกท แต่มันเหมือนกันโดยสิ้นเชิงก็ตรงที่การตัดสินใจของคนเหล่านี้คือ ทำทุกอย่างตามที่พ่อแม่ขอ โดยที่ไม่ดูเหตผล และความเหมาะสม
อย่างเคสนึงคือ พ่อแม่อยากได้เงินเยอะ จึงบังคับลูก ให้แต่งงานกับคนรวยเพื่อตนเองจะได้มีเงินเยอะๆ แล้วพออยู่ไปๆ ความรักไม่เกิดฝ่ายหญิงก็ทะเลาะกับสามีคนรวยนั้นเป็นประจำ โดนซ้อมจนตาย แถมผู้ชายนั้นซ้อมลูกอีก...
คำถามจึงเกิดขึ้นว่า...แล้วฝ่ายหญิงที่ตามใจพ่อแม่แบบนี้มันถูกแล้วหรือ การเลือกผชที่ดี คือผู้ชายที่มีปัญญานำพาครอบครัวให้รอดได้ ไม่ใช่ผู้ชายที่แยกแยะผิด ชอบ ชั่ว ดี ไม่ได้ ถึงคุณจะทนได้ แต่เวรกรรมอะไรของลูกที่ต้องมารับกรรม ด้วยการตัดสินใจที่ผิดๆของคุณ
ดังนั้น หากจะปล่อยให้ปัญหานี้ของครอบครัวสามีคุณดำเนินต่อไป ก็ถือเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่หากคุณอยากทำสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น โดยไม่ให้เกิดการแตกหัก คือการสอนสามีคุณ ให้เข้าใจ "การให้ที่ถูกต้อง" นั้นควรเป็นการให้ด้วยปัญญา
การหลับหูหลับตาปรนเปรอด้วยของฟุ่มเฟือย โดยไม่ดูความเหมาะสม ถือเป็นการหยิบยื่นบาปให้ผู้อื่นเช่นกัน
ไม่เช่นนั้น ศาสนาคริสต์ เค้าคงไม่จัด vanity ไว้เป็น 1 ในบาปทั้ง 7 ประการ หรอกค่ะ
การให้โดยไม่ให้ปัญญา รังแต่จะเป็นการสร้างบาป สร้างทุกข์ ไม่ที่จบสิ้น หลายประเทศเค้าจึงไม่สนับสนุนการให้เงินขอทาน เพราะทำให้มนุษย์ไม่รู้จักพึ่งตนเอง
แต่ในเคสนี้แย่ยิ่งกว่าเพราะไม่ใช่การให้เงินเพื่อช่วยให้คนเหล่านั้นอยู่รอด แต่กลับเป็นการให้เพื่อไปเติมกิเลสคนเหล่านั้นต่างหาก การใช้สินค้าแบรนด์เนม ไม่ใช่สิ่งที่ผิดทั้งหมด แต่การครอบครองสิ่งเหล่านี้อย่างขาดสตินั้น ไม่ใช่สิ่งที่ดี ดังนั้นยิ่งสามีคุณเติมสิ่งเหล่านี้ให้แม่เค้ามากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายแม่ของสามีคุณทางอ้อม
ดังนั้นหากคุณจขกทรู้ผิดชอบชั่วดีว่าอะไรคือสิ่งที่ควรหรือไม่ควร ก็น่าที่จะลองเริ่มอธิบายไปที่คุณสามี ให้เค้าเริ่มมองให้เห็นปัญหา ไม่จำเป็นต้องตัดรอนแม่สามีก็ได้ เพราะส่วนหนึ่งที่สามีคุณรักแม่ก็ถือเป็นการดีอยู่แล้ว แต่การรักที่ผิดจะทำให้เกิดปัญหา จึงควรบอกเค้าให้ลองหัดอธิบายให้แม่ฟังดูบ้าง
ว่าความสุขของชีวิตมันไม่ได้อยู่ที่การถลุเงินไปกับของที่จริงๆแล้วไม่ได้ให้คุณค่าแก่ชีวิตเลย
ลองให้สามีคุณพาคุณแม่ไปเที่ยวดูธรรมชาติ ให้รับรู้ถึงความสุขรูปแบบอื่น ที่เป็นความสุขที่มันสัมผัสได้ไปถึงหัวใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มนุษย์ที่มาถึงวัยชรา ควรได้มีความสุขกับการให้บ้างได้แล้ว
ก็ลองพาเค้าไปเยี่ยมเด็กที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนบ้าง สถานคนชราดูบ้าง ให้เค้าได้รับรู้ว่า การเป็นผู้ให้ก็สร้างความสุขในชีวิตได้เช่นกัน แถมยังเป็นความสุขที่ทั้งผู้ให้และผู้รับต่างก็สุข
ผิดกันกับการซื้อสินค้าแบรนด์เนมที่สามีคุณก็คงทุกข์บ้าง แต่คุณ และลูกจะทุกข์มากกว่า
ลองถามสามีคุณดูว่า หากวันนึงที่คุณแม่เค้าหมดลมหายใจ สามีคุณอยากเห็นภาพคุณแม่เค้านอนจากไปโดยกอดเครื่องเพชรและกระเป๋าแบรนด์เนมไว้เพราะทุกข์ที่ต้องจากสมบัติ หรืออยากเห็นภาพที่เค้านอนยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อ นึกถึงสิ่งดีๆที่เคยหยิบยื่นให้ผู้อื่น และ สังคม
หากจะว่ากันเรื่องเวรๆกรรมๆ คำถามนี้ควรนำไปถามดูนะคะ
แต่หากจะว่ากันเรื่องปรัชญาล้วนๆ...
คงต้องย้อนกลับไปที่ข้อความที่quoteมา และขอบอกว่า คติเตือนใจ หรือ นิทานสอนใจ ใดๆที่มีมาแต่โบราณ หากไม่มีนัยยะ หรือไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง สิ่งเหล่านั้นคงไม่ถูกถ่ายทอดกันมาผ่านหลายชั่วอายุคนมาจนทุกวันนี้หรอกค่ะ
ดังนั้น ทั้งคำว่า มีผัวผิดคิดจนตัวตาย และ พ่อแม่รักแกฉัน
จึงเป็นข้อสอนใจที่ควรพึงระลึกไว้ด้วยเช่นกัน