พระศาสดาของข้าพเจ้าตรัสว่า

"ผู้ใดไม่เศร้าโศกถึงอดีต ไม่กังวลถึงอนาคต มีชีวิตอยู่ด้วยปัจจุบันธรรม
ผิวพรรณของผู้นั้นย่อมผ่องใส แม้จะบริโภคอาหารหนเดียวต่อวัน
ประพฤติพรหมจรรย์ สงบนิ่งอยู่ในป่า
ส่วนผู้ที่มัวเศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
กังวลหวังอย่างเร่าร้อน ต่อสิ่งที่ยังไม่มาถึง
ย่อมซูบซีดเศร้าหมองเหมือนไม้สดที่ถูกตัดแล้ว"

"กังวลหวังอย่างเร่าร้อน ! มนุษย์ส่วนมากเป็นอย่างนั้น

เขาไม่ค่อยรู้จักรอคอยอย่างสงบเยือกเย็น
เขาไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยเข้าใจว่า เขาบันดาลผลไม่ได้
เหตุที่เขาทำนั่นแหละจะบันดาลผลให้เกิดขึ้นเอง
เหมือนชาวสวนปลูกต้นไม้ คอยรดน้ำพรวนดิน ให้ปุ๋ยป้องกันสตรูพืช นั่นคือเหตุ
ส่วนการออกดอก ออกผล ชาวสวนบันดาลไม่ได้
กระบวนการธรรมชาติของต้นไม่เองนั่นแหละ
จะบันดาลให้เกิดขึ้นตามธรรมชาติของตน
มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดคุณค่าแห่งชีวิตของตนไว้ให้แน่นอน
ว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ
เมื่อเป็นดังนี้ เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขไม่ไดั
เขาจะไม่พบความพอใจในชีวิต"

ความเจ็บ ความแก่ ความตาย ความทุกข์กายทุกข์ใจ
เพราะเหตุต่าง ๆ คุกคามให้หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่เนืองนิตย์
ถูกความไม่ได้ดังใจปรารถนาบีบคั้นให้ต้องเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เขาก็ยังหวังอยู่นั่นเอง หวังว่าจะได้อย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้
พอถึงเวลาเข้าจริง ความหวังของเขา
กลับกลายเป็นเสมือนภาพอันซ้อนอยู่ในปุยเมฆ
พอลมพัดมานิดเดียว ภาพนั้นก็พลันเจือจางและเลือนหาย
ด้วยเหตุนี้ เสียงที่ว่า "ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต จึงระงมอยู่ในหมู่มนุษย์ตลอดมา

ความจริงมนุษย์ทุกคนได้เคยสมปรารถนา
ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นระยะ ๆ อยู่เหมือนกัน
แต่เพราะเมื่อความปรารถนา หรือความหวังอย่างหนึ่งสำเร็จลงแล้ว
ความต้องการอย่างใหม่ก็เกิดขึ้นอีก
บางทีก็อาศัยความสำเร็จเดิมนั้นเป็นมูลฐาน
เขาจึงรู้สึกเหมือนหนึ่งว่า มิได้ประสบความสำเร็จในชีวิต
จึงดิ้นรนอยู่ในทะเลเพลิงแห่งความอยาก
ความปรารถนาอันไม่มีที่สิ้นสุด เร่าร้อนและว้าเหว่หาประมาณมิได้

ทุกครั้งที่ความปรารถนาเกิดขึ้นในห้องหัวใจ

ตราบใดที่ยังไม่สมปรารถนาความเร่าร้อนในหัวใจก็หาดับลงไม่
นอกจากเขาจะเลิกปรารถนาสิ่งนั้นเสียความหวังเป็นสิ่งผูกพันชีวิตมนุษย์ไว้
อย่างยากที่จะแยกออกไปได้ ถึงกระนั้นก็ตาม
มีมนุษย์เป็นอันมากที่ไม่รู้ ตอบตัวเองไม่ได้ว่า
อะไรคือสิ่งที่ตนหรือมนุษย์ควรจะต้องการจริง ๆ
อะไรคือสิ่งที่มนุษย์ควรเดินเข้าไปหา และขึ้นให้ถึง
ตราบใดที่มนุษย์ยังตอบปัญหานี้ไม่ได้
ตราบนั้นเขาจะต้องดำเนินชีวิตอย่างลังเล ไร้หวัง
และวนเวียนเป็นสังสารจักร์ ไม่รู้ว่าอะไรคือทิศทางของชีวิต
เหมือนคนหลงป่า หรือนกหาฝั่ง บินวนเวียนอยู่ในสมุทร เพราะหาฝั่งไม่พบ........

บทความส่วนหนึ่งจาก ธรรมนิยาย ผู้สละโลก อ.วศิน อินทสละ
ฟังฟรีได้ที่ ......
http://www.fungdham.com/download/rea...salalok/01.mp3