โรคมะเร็งตับ ถือเป็นโรคร้ายที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตเป็นอันดับต้น ๆ ของคนไทย และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคนี้สามารถพบได้กับผู้ป่วยทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่โดยส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก และจะพบได้สูงในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายอยู่เป็นประจำด้วยแล้ว ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็งก็มีอาการผิดปกติปรากฏขึ้นแล้ว

คุณรู้หรือไม่ว่า “มะเร็งตับ” สามารถรักษาได้ หากตรวจพบในระยะเริ่มแรก”ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำให้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะกลุ่มความเสี่ยงดังต่อไปนี้
- เพศชายอายุ 30 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ผู้ที่ได้รับสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารเป็นประจำ
- โรคทางพันธุกรรม
- เป็นโรคพยาธิใบไม้ในตับ
- การได้รับสารไนโตรซามีน
- ท่อน้ำดีในดับอักเสบเรื้อรัง
- การได้รับยาหรือสารเคมีบางชนิดเป็นเวลานาน

เพราะระบบทางเดินอาหารมีการทำงานที่ซับซ้อน จึงต้องการการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งนี้โรคที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันมีค่อนข้างเยอะ ซึ่งมีทั้งโรคที่พบเจอได้บ่อย และ โรคที่เจอได้ค่อนข้างน้อย

โรคมะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบได้มากที่สุดเป็นอันดับ1ของโรคมะเร็งที่เกิดในผู้ชายไทย โดยมักพบในคนอายุ 30-70 ปี และพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2-3 เท่า เนื่องจากเพศชายมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง โดยโรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ

ชนิดของมะเร็งตับ
1.มะเร็งตับชนิดปฐมภูมิ
เกิดจากเนื้อเยื่อของตับโดยตรง ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
- มะเร็งเซลล์เนื้อเยื่อตับ
- มะเร็งท่อน้ำดีของเนื้อตับ

2.มะเร็งตับชนิดทุติยภูมิ เกิดจากการแพร่กระจายมาจากโรคมะเร็งชนิดอื่น เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งเต้านม

สาเหตุของมะเร็งตับ, มะเร็งเซลล์ตับ
- ไวรัสตับอักเสบบีและซี
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- สารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) หรือเชื้อราที่อยู่ในถั่วลิสงที่อับชื้น, พริกแห้ง, กระเทียม และหัวหอมเป็นต้น
- ไขมันพอกตับ

มะเร็งท่อน้ำดีของเนื้อตับ
สาเหตุที่พบเจอได้บ่อย เกิดการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ

ซึ่งเป็นพยาธิที่มีการปนเปื้อนอยู่ในอาหารประเภท ของหมักดอง ปลาร้า ปลาดิบ เนื้อดิบ อาหารสุกๆ ดิบๆ โดยพยาธิที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารจะอาศัยและชอนไชไปตามท่อน้ำดีที่อยู่ในเนื้อตับ เนื่องจากในท่อน้ำดีจะมีสารอาหารซึ่งเป็นที่ต้องการของพยาธิใบไม้ บางครั้งพบว่าพยาธิใบไม้มักจะไปอุดตันในท่อน้ำดี ก่อให้เกิดอาการตัวเหลืองหรือตาเหลือง

การได้รับสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารพิษที่พบได้ในอาหารจำพวก ปลาร้า ปลาส้ม หรือแหนม เป็นต้น หรืออาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว เช่น ไส้กรอก, กุนเชียง, เนื้อเค็ม และปลาเค็ม เป็นต้น และอาหารรมควัน เช่น ไส้กรอกรมควัน ปลารมควัน

จากสาเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น สาเหตุอันดับต้นๆ ที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งตับในประเทศไทย คือ “การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี” ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากติดต่อจากแม่มาสู่ลูก แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วพบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ คือ “การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

มะเร็งตับจากการดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์จัดจะนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และโรคมะเร็งตับตามมา แต่กรณีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซีจะไม่นำไปสู่ภาวะตับแข็ง แต่จะนำไปสู่มะเร็งตับได้เลย ดังนั้นจึงการตรวจคัดกรองมะเร็งตับจึงเป็นเรื่องสำคัญ

อาการและอาการแสดง
- ระยะแรก - ไม่แสดงอาการใด ๆ
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง
- จุกเสียดท้อง ท้องอืด
- อาการปวดชายโครงด้านขวา
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- ท้องโตขึ้น มีน้ำในช่องท้อง
- ขาบวม มีน้ำในเยื่อหุ้มปอด
- อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ

การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ
- การซักประวัติ และการตรวจร่างกาย
- การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง
- ตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ “แอลฟาฟีโตโปรตีน (AFP)”
- การทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือบางครั้งอาจใช้การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อช่วยในการวินิจฉัย
- การตรวจชิ้นเนื้อตรงตำแหน่งก้อนเนื้อ (Biopsy)

การรักษาโรคมะเร็งตับ
หลักการรักษามะเร็งตับ คือ ถ้าอยู่ในระยะที่สามารถผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออกได้ก็จะใช้วิธีการผ่าตัดหรือการปลูกถ่ายตับ แต่ถ้าอยู่ในระยะโรคที่ก้อนมีขนาดใหญ่มากหรือมีหลายๆ ก้อน เช่น 3-5 ก้อนขึ้นไป อาจจะต้องใช้วิธีการรักษาด้วยวิธีฉีดยาเคมีบำบัดเข้าทางเส้นเลือดหรือการรับประทานเคมีบำบัด หรือการรักษาตามอาการในผู้ป่วยระยะท้ายๆ แต่ปัญหาที่มักเจอได้บ่อยๆ คือ คนทั่วไปมักจะไม่ให้ความสำคัญในการตรวจคัดกรอง โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการรุนแรงแล้ว เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโตมาก มีน้ำในช่องท้อง ซึ่งอาการดังกล่าวจะอยู่ในระยะที่ไม่สามารถผ่าตัดได้แล้ว ดังนั้นการตรวจคัดกรองโรคระบบทางเดินอาหารและตับเป็นสิ่งที่จำเป็น หากพบความผิดปกติเพียงเล็กน้อย เช่น เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อย จุกชายโครงขวา ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรอง

การป้องกันโรคมะเร็งตับ
- ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เป็นโรคตับแข็งและกลายเป็นมะเร็งตับได้
- ผู้ที่เป็นพาหะหรือสงสัยว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและตรวจหามะเร็งตับระยะแรกทุกๆ 6 เดือน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) เช่น ถั่วลิสงบด, หัวหอม, พริกแห้ง และกระเทียมที่มีราขึ้น เพราะสารพิษชนิดนี้มีความทนทานต่อความร้อนสูง ไม่สามารถทำลายได้แม้จะนำไปประกอบอาหารผ่านความร้อน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) เช่น อาหารจำพวกโปรตีนหมัก เช่น ปลาร้า, ปลาส้ม, หมูส้ม และแหนมเป็นต้น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว เช่น ไส้กรอก, กุนเชียง, เนื้อเค็ม, และปลาเค็มเป็นต้น
- ไม่รับประทานปลาน้ำจืดแบบดิบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคพยาธิใบไม้ตับ
- ควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกเกิด

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตับ
- ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับสูงทุกราย
**ผู้ป่วยโรคตับแข็ง จากสาเหตุใดๆ ก็ตาม
**ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสชนิดบีหรือซี หรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสกลุ่มนี้ ผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตับจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ Alpha-fetoprotein (AFP) และตรวจอัลตราซาวนด์ตับเป็นทุกๆ 3-6 เดือน

ดังนั้นควรหมั่นตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำในทุก ๆ ปี วางแผนรับมือได้อย่างรอบครอบ ตามที่แพทย์แนะนำ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงนั้นในปัจจุบันการตรวจสุขภาพเป็นเรื่องที่ง่าย และใช้เวลาไม่นาน อีกทั้งยังสามารถทราบผลที่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะ “สุขภาพดี ควรเริ่มต้นที่ตัวเรา”

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.nonthavej.co.th/Liver-cancer.php