หลังจากที่ลูกน้อยลืมตาดูโลก เชื่อว่าคุณแม่ทุกคนคงเฝ้าดูพัฒนาการของลูกในทุกๆ วันด้วยความตื่นเต้น ทั้งเรื่องของพัฒนาการทางสมองและร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงวัย 6ขวบปีแรกที่สมองจะพัฒนาอย่างรวดเร็วและเป็นช่วงเวลาที่จำกัด คุณแม่จะสังเกตได้จากพฤติกรรมต่างๆของลูกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านพ้นช่วงนี้ไป สมองจะมีการตัดแต่ง เพื่อกรองส่วนที่ไม่ใช้งานออกไป สมองของเด็กในช่วงวัย 6 ขวบแรก เติบโตได้ถึง 90% และในส่วนของร่างกายช่วงวัยเด็กเล็กนั้น เป็นช่วงการสร้างรากฐานที่มั่นคงแข็งแรงในวัยแห่งการเรียนรู้ของลูกน้อยต่อไป

พฤติกรรมและพัฒนาการเด็กตามช่วงวัยของลูกน้อย
ในแต่ละช่วงวัยของลูกน้อย จะมีพัฒนาการเจริญเติบโตและพฤติกรรมด้านต่างๆ ตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่คุณแม่ควรให้ความสนใจ และกระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยอยู่เสมอ ดังนี้ค่ะ

วัยแรกเกิด – 6 เดือน
ในช่วง 3 เดือนแรก เป็นช่วงรากฐานแห่งการเติบโตและต้องการการดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของลูกจะถูกพัฒนาตั้งแต่อยู่ในครรถ์ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลังแรกเกิด สมองช่วงนี้จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว สมองทุกส่วนจะพัฒนาพร้อมๆกัน จะเห็นพฤติกรรมพัฒนาการของลูกชัดเจน เช่น การดูด การกางนิ้ว การพัฒนากล้ามเนื้อต่างๆ ลูกจะเริ่มจดจำใบหน้า คุณพ่อคุณแม่ได้ เด็กจะสื่อสารกับพ่อแม่ผ่านทาง ท่าทาง น้ำเสียง การหัวเราะ ร้องไห้ เริ่มจดจำเสียงพ่อแม่ได้ สามารถขยับตัวได้มาก เช่น พลิกตัว คว่ำหงาย และ นั่ง

6 – 12 เดือน
ช่วงนี้ร่างกายจะสร้างกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ให้แข็งแรงขึ้น เพื่อพัฒนาไปยังการใช้ร่างกายที่มากขึ้น เช่น เริ่มคลาน ตั้งไข่ และเดินกระเตาะกระแตะ ส่วนพัฒนาการทางสมอง จะมีพฤติกรรมชอบทำอะไรซ้ำๆ โดยช่วงนี้สมองส่วนความจำจะพัฒนาอย่างมาก เพื่อพร้อมสำหรับการเรียนรู้ทุกประเภท โดยจะสร้างความจำและมีการเรียนรู้จากพฤติกรรมของคนรอบข้าง เช่น การโบกไม้โบกมือ ก้มหัวสวัสดี พูดคำสั้นๆง่ายๆได้ อย่าง แม่ พ่อ กิน ช่วงวัยนี้คุณพ่อคุณแม่จะเห็นนิสัยที่ชัดเจนขึ้น จากกิจกรรมเล็กๆน้อยๆ ที่เจ้าตัวน้อยชอบทำนั่นเอง

วัย 1 ปี
ระยะนี้เป็นช่วงเวลาที่กำลังน่ารักและซนของลูกเนื่องจากสมองจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 30-40% ของผู้ใหญ่ เซลล์ต่างๆ มีการขยายอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ถือเป็นช่วงเวลาทองแห่งการเรียนรู้ นั่นคือพัฒนาการของเครือข่ายใยประสาท โดยสมองจะทำหน้าที่ประสานกันในการควบคุมร่างกาย ให้ยืน เดิน กระโดด ได้ดีขึ้น การรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 7 การประมวลข้อมูล และการตอบสนอง เป็นช่วงเริ่มต้นของการเลี้ยงลูกให้ฉลาดสมวัย และร่างกายที่เจริญเติบโตได้อย่างเต็มที เด็กจะจดจำคำศัพท์ได้เยอะขึ้น เริ่มพูดคำ 2-3 คำได้ หยิบอาหารกินเองได้ เริ่มเห็นนิสัยที่ชัดเจนมากขึ้น เดินได้ด้วยตัวเอง

วัย 2 ปี
ช่วงนี้เป็นช่วงเตรียมพร้อมก่อนเข้าโรงเรียนและมีพฤติกรรมชอบทำตามเด็กวัยเดียวกัน เด็กสามารถจดจำใบหน้าและชื่อคนทั่วไปได้ดี เพิ่มจำนวนการจดจำชื่อของคนในครอบครัวและเพื่อนบ้านหรือเพื่อนเล่นได้ รวมถึงสามารถบอกชื่อตัวเอง กินข้าวเองได้ ทำกิจกรรมง่ายๆ ด้วยตัวเอง เช่น ร้องเพลง เต้นตามจังหวะเป็นท่าทางต่างๆ

วัย 3-4 ปี
สมองเพิ่มน้ำหนักเป็น 60% และจะพัฒนาสติปัญญาให้เพิ่มขึ้นด้านสิ่งแวดล้อม กิจกรรม การเรียนรู้คำศัพท์ ภาษา ความอยากรู้อยากเห็น และความคิดที่มีเหตุผลมากขึ้น จะเริ่มมีคำถามที่ซับซ้อนขึ้น คุณแม่สามารถเสริมทักษะต่างๆ ให้ลูกได้ในช่วงเวลานี้ เช่น มีกิจกรรมร่วมกันกับเจ้าตัวน้อย เล่นเกม เล่านิทานเสริมจินตนาการ โดยเครือข่ายใยประสาทก็ยังพัฒนาต่อในช่วงวัยนี้ เพราะจะช่วยให้ลูกสามารถคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง เล่าเรื่องต่างๆที่พบเจอด้วยตนเองหรือจำจากที่คุณแม่เล่าได้ดีขึ้น

วัย 5-6 ปี
ช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่สมองสั่งการให้เด็กๆ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นมากแล้ว สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แบบเด็กที่โตแล้ว มีการเรียนรู้ประสบการณ์ มีความจำ คิดคำนาณได้ เช่น การบวกเลขหลักเดียว สามารถอยู่ตามลำพังโดยไม่ต้องมีคนดูแลตลอดเวลาได้ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ คุณแม่ควรพาลูกออกไปพบกับผู้คน ได้ท่องเที่ยวในโลกกว้างได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ถือเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยเรื่องพัฒนาการสมอง พัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์และสังคม เป็นไปในทางที่ดี

เพราะพัฒนาการด้านสมองและร่างกายมีความสัมพันธ์กัน คุณแม่ควรให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน เด็กที่มีพัฒนาการดีจะช่วยให้สุขภาพจิตดีไปด้วย ทั้งนี้พัฒนาการโดยรวมของเด็กเล็ก อาจจะมีช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ หลังจากช่วงอายุนี้การสร้างเครือข่ายใยประสาทจะลดลงและส่วนที่ไม่ได้ใช้ก็จะถูกกรองออกไป เพราะฉะนั้นช่วงอายุ 0 – 6 ปี เป็นช่วงที่สำคัญสำหรับลูกในการพัฒนาสมองและร่างกาย นอกจากการเลี้ยงดูที่ดีแล้วสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยพัฒนาการสมองลูกได้ คือสารอาหารที่มีคุณค่าสำหรับเด็ก โดยเฉพาะสารอาหารสมองที่มีผลต่อพัฒนาการเด็กอย่างมากในช่วง 6 ปีแรก

“นมเสริมสารอาหารสำหรับเด็ก” มีสารอาหารที่เหมาะสมและจำเป็นต่อลูกน้อย
หากคุณแม่อยากให้ลูกน้อยเติบโตและแข็งแรงสมวัย อาหารคือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะช่วง 1-6 ขวบ เพราะจะส่งผลในระยะยาวโดยเฉพาะเสริมพัฒนาการสมอง
อาหารที่คุณแม่เลือกจึงต้องมีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองที่ขาดไม่ได้คือ กรดอะมิโนและโอเมก้า 3,6 และ 9 ซึ่งมีอยู่ในนม เพราะ ‘นม’ ขึ้นชื่อว่าเป็น อาหารสำคัญที่สุดตั้งแต่แรกเกิด ในนมมีโปรตีนที่สำคัญมากต่อการพัฒนาร่างกายและสมองเด็ก รวมถึงสารอาหารที่สำคัญอย่าง ‘กรดอะมิโนจำเป็น’ หลังจากลูกน้อยหย่านมแม่แล้วต้องมั่นใจว่า นมที่เลือกให้ลูกทานต่อนั้นจะมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองและร่างกายอย่างครบถ้วน

นอกจากนี้ในนมยังมีสารอาหารที่สำคัญอื่นๆ ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟระบุไว้ว่ามีผลต่อการเจริญเติบโต สร้างภูมิคุ้มกัน และพัฒนาการสมองให้เฉลียวฉลาดทางสติปัญญา (IQ) และโภชนาการที่ดีจะยังส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ด้วย โดยสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็ก 10 ชนิดที่ขาดไม่ได้ได้แก่ แคลเซียม วิตามินเอ สังกะสี วิตามินอี โปรแตสเซียม วิตามินซี แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินดี และโปรตีน ซึ่งมีหน่วยย่อยเรียกว่ากรดอะมิโน

โดยประโยชน์ของกรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด (ไอโซลีน, ลูซีน, ไลซีน, เมไธโอนีน, เฟนิลอะลานีน, ธรีโอนีน, ทริฟโตเฟน, เวลีน, ฮิสติดีน) นั้นช่วยเสริมความจำ พัฒนาสมองเพิ่มพลังให้กล้ามเนื้อ และช่วยให้เซลล์ประสาทแข็งแรงขึ้น รวมไปถึงเสริมสมาธิ เสริมสร้างการเจริญเติบโตและเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ ที่สำคัญ กรดอะมิโนฮิสติดีน ยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก และช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมองในเด็กอีกด้วย โดยกรดอะมิโนทั้ง 9 ชนิดนี้ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องอาศัยจากการรับประทานอาหารต่างๆ และนมเท่านั้น

นอกจากสารอาหารที่จำเป็นทั้ง 10 ชนิด เด็กในวัย 3 ขวบปีแรกต้องการสารอาหารเพื่อพัฒนาสมองเป็นอย่างมาก เนื่องจากสมองจะมีการเจริญเติบโตได้มากที่สุดถึง 80% ในช่วยวัยนี้ ดังนั้นคุณแม่จึงควรเสริมสารอาหารดังนี้เพื่อพัฒนาการสมองของลูกให้ไปได้สุด ได้แก่ ดีเอชเอ ซึ่งร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดไขมันโอเมก้า3, ไอโอดีน, วิตามินบี12, ธาตุเหล็ก และ โฟเลต

เห็นไหมคะว่าสารอาหารสำคัญของลูกน้อยที่กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต จำเป็นต่อการสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ โดยเฉพาะสมอง ลูกน้อยจึงควรได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอต่อวัย เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาทั้งสมองและ ร่างกาย

‘นม’ มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวเสริมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับสมองและร่างกาย การเลือกนมที่มีประโยชน์ และมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กครบถ้วนจึงเป็นเรื่องที่คุณแม่ควรพิถีพิถันในการเลือก อย่างเช่นนมที่มีการเสริมสารอาหารจำพวก โอเมก้า, ดีเอชเอ และ กรดอะมิโนครบถ้วน เพื่อให้สมองและร่างกายของลูกน้อยพัฒนาได้อย่างเต็มที่ และเติบโตเฉลียวฉลาด

ขอบคุณที่มาจาก https://www.foremostomega.com/brain-development/