เครียดง่าย ไม่หลับ เมื่อยตัว ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ภูมิแพ้ แก่เร็ว ปวดประจำเดือนมาก

ปวดท้องบ่อย ทานอะไรก็ไม่ได้ผล หรือ ได้ผลน้อยมาก ทั้งหมดนี้ อาจมีสาเหตุทางร่างกายร่วมกัน


"เมื่อเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง มักเป็นอย่างอื่นร่วมด้วยในไม่ช้า มักเริ่มจากการ เครียดง่าย จนเริ่ม นอนไม่หลับ ตามมา

ซึ่งเมื่อเริ่มเป็นแล้ว ตอนแรก จะเข้าใจว่า เป็นชั่วคราว เดี๋ยวก็หาย แต่เวลาผ่านไป กลับไม่หาย ซ้ำยังเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเริ่มหาหมอ แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นชัดเจน หรือ หายขาดอย่างที่หวัง ยังมีอาการกำเริบเป็นระยะๆ

ช่วงหลังๆ พยายามหาความรู้ พยายามเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่รู้ แต่ก็ยังไม่เห็นผลชัดเจน จนตอนนี้ เริ่มทำใจ ว่า คงต้องทนอยู่กับอาการแบบนี้ ไปเรื่อยๆ"
หากเรื่องราวของคุณ คล้ายๆแบบนี้ หรือ มีแนวโน้มจะเป็นแบบนี้

นั่น อาจเป็นได้ ที่ร่างกายของคุณ "สะสมพิษ มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอาออกไม่ได้"

การที่ร่างกายสะสมพิษ ซึ่งเป็นของแปลกปลอม สำหรับร่างกาย ร่างกายจึงต้องพยายามส่งสัญญาณว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาฝังอยู่ ให้เรารับรู้ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิด "ความเครียดทางกาย (Physical Stress)" สะสมไว้เรื่อยๆ โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว หรือ รู้สึกไม่สบายตัวนิดๆหน่อยๆ อยู่ตลอดเวลา

เมื่อมีความกังวลเข้ามา ไม่ว่าจะจากเรื่องงาน หรือ การใช้ชีวิตก็ตาม ความกังวลนั้น ก่อให้เกิด "ความเครียดจากจิตใจ (Psychological Stress)" ซึ่งเมื่อมาบวกเพิ่มกับ ความเครียดทางกาย ที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ยิ่งรู้สึกเครียดมากกว่าปกติ จนบางครั้ง เห็นผลออกมาทางอารมณ์ หรือ การนอนไม่หลับ



ขอบคุณรูปจาก
https://www.slideshare.net/irenek/ssstress-and-health
การเครียดมากเกินปกติ นั่นเอง ที่ก่อให้เกิดวัฏจักรการผิดปกติของร่างกายทั้งหลายได้ง่ายขึ้น ไล่ตั้งแต่ นอนไม่หลับ ตื่นมาแล้ว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ภูมิคุ้มกันต่ำ มีอาการภูมิแพ้ ปวดประจำเดือนมาก (สำหรับผู้หญิง) ปวดท้องจากกรดในกระเพาะบ่อย ระบบย่อยอาหารเสื่อมเร็ว จนเริ่มรับสารอาหารจากอาหารที่ทานได้น้อยลง จนร่างกาย เสื่อมเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้แก่เร็วกว่าปกติ และอาจเกิดโรคเรื้อรังประจำตัวตามมาด้วย เหล่านี้คือคุณภาพชีวิตที่แย่ลงอย่างไม่ควรจะเป็น

มีการตรวจสอบพบว่า วิถีชิวิตของคนในยุคปัจจุบัน มีแนวโน้มจะได้รับสารพิษมากขึ้นเรื่อยๆ จากของกิน ของใช้ ที่เป็นผลผลิตจากอุตสาหกรรม ที่กินใช้ประจำวันในชีวิต รวมกับ สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ทั้ง อากาศ น้ำ ดิน ที่ปนเปื้อนมากขึ้น แม้ว่า ระบบร่างกายของเราจะมีความสามารถใจการขับพิษออกในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อปริมาณสารพิษที่เข้ามา รวมทั้งยังพบว่ามีสารพิษบางตัวที่กลไกของร่างกายขับออกเองไม่ได้ นั่นคือ สารพิษกลุ่มโลหะหนัก จึงส่งผลให้ ร่างกายของเราเกิดการ "สะสมพิษ มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอาออกไม่ได้" ซึ่ง ส่งผลให้เราเริ่มสะสมความเครียดทางกาย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นการเครียดง่ายกว่าปกติ ตามมา



แหล่งสารพิษโลหะหนัก ที่ อยู่ในครัวของเรา



แหล่งสารพิษโลหะหนัก ที่ อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา

ขอบคุณรูปจาก
http://www.naturalnews.com/044950_ch...amination.html
http://www.texasintegrative.com/toxi...ronic-illness/

ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4144270/
การสะสางพิษ ที่สะสมอยู่ในร่างกาย จึงเป็นการลดองค์ประกอบของความเครียด ที่เกิดจากร่างกาย ไม่ให้เราต้องเผชิญความเครียดพร้อมกันจากหลายทาง ซึ่ง จะส่งผลช่วยให้เราสามารถรับมือกับ "ความเครียดจากจิตใจ" ที่ต้องเจอได้ง่ายขึ้น

โดยหลักแล้ว เราสามารถลดการรับพิษเพิ่มได้ โดยการไม่สัมผัสผลจากอุตสาหกรรมทั้งของใช้และสภาพแวดล้อมที่อาศัย ปรับอาหารที่ทานให้เป็นอาหารจากธรรมชาติ ออร์กานิกทั้งหมด ซึ่งทำได้ยากมากในวิถีชีวิตยุคปัจจุบัน ส่วนการสะสางพิษที่สะสมอยู่แล้วในร่างกายนั้น เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า หรือ อาจทำไม่ได้โดยกลไกปกติของร่างกายสำหรับสารพิษกลุ่มโลหะหนัก ทำให้ การที่จะลดปริมาณพิษในร่างกายได้นั้น จำเป็นต้องใช้ตัวช่วย ที่ช่วยให้ร่างกายขับพิษออกมาได้ มากกว่า ที่รับเพิ่มเข้ามาใหม่ในทุกๆวัน

เท่าที่มีการค้นพบจนถึงปัจจุบัน มีอาหารจากธรรมชาติ เพียงชนิดเดียวในโลก ที่ได้รับการยืนยัน จากทั้ง งานวิจัย และ รายงานการใช้งานจริงทางการแพทย์ (Clinical Pearl) เป็นจำนวนมาก ว่ามีคุณสมบัติตามธรรมชาติในการจับโลหะหนักที่ฝังอยู่ในร่างกายมนุษย์ ช่วยให้ร่างกายเราสามารถขับโลหะหนักเหล่านั้นออกมาได้ (Natural Chelation) อาหารจากธรรมชาติชนิดนั้นคือ "คลอเรลล่า" คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียว ที่ถูกค้นพบว่า ผนังเซลล์มีสารที่สามารถจับโลหะหนัก และ พิษรูปแบบอื่นๆอีกหลายชนิด ที่ฝังอยู่ในร่างกายมนุษย์

คลอเรลล่า เคยถูกนำไปใช้งาน ในวิกฤตการสารพิษรั่วไหลที่สำคัญในประวัติศาสตร์โลก อย่างเช่น ใช้ในการขับพิษแคดเมียมให้ผู้ป่วย ในวิกฤติสารแคดเมี่ยมรั่วไหล (อิไต อิไต) ในญี่ปุ่น ใช้ในการขับพิษกัมมัตภาพรังสี เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันมะเร็งให้ผู้ป่วย ในวิกฤติ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด ในสหภาพโซเวียต

ตัวอย่างทั้งสองวิกฤตินี้ เป็นภาพสะท้อนปัญหาสารพิษในโลกยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน ก็สะท้อนคุณสมบัติของคลอเรลล่า ว่าเป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่มีความสำคัญสำหรับมนุษย์ ในการใช้ชีวิตอยู่ในโลกยุคปัจจุบันเช่นกัน

ทำไม การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นต้องเลือก "คลอเรลล่า ที่ปลอดภัย" เท่านั้น

คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียว ที่มีความสามารถในการดักจับโลหะหนักสูง ดังนั้น คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนของโลหะหนัก ก็จะดักจับโลหะหนัก ในแหล่งน้ำนั้นๆ มาเก็บไว้ที่ตัวเอง

ดังนั้น เมื่อทานคลอเรลล่า ที่มีการปนเปื้อน โลหะหนัก ก็เท่ากับร่างกายได้รับพิษโลหะหนักเพิ่มจากคลอเรลล่า แทนที่คลอเรลล่าจะมาขับล้างพิษโลหะหนักในร่างกายออกไป

โดยหลักการนี้ การทานคลอเรลล่า ที่ไม่สามารถการันตี "ความปลอดภัย" ได้ จะยิ่งทำให้ร่างกายสะสมพิษมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะในสถานการณ์วิกฤติหรือไม่ ก็ตาม

การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเลือก คลอเรลล่า เป็นออร์แกนิกส์ 100% เพื่อการันตี ว่า จะไม่มีสิ่งพิษปนเปื้อนเข้ามาสู่ร่างกายเรา แทนที่จะมาช่วยร่างกายขับพิษ จนกลายเป็นการเพิ่มความเครียดทางกายแทนที่จะลด

โดยที่ คลอเรลล่า ที่ได้รับการการันตีว่า เป็น ออร์แกนิกส์ 100% นั้น ถือว่าเป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่สะอาด ปลอดภัย สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย และ สามารถทานต่อเนื่องได้ ตลอดชีวิต

เพราะ "การกำจัดของสะสมที่เป็นสารพิษในร่างกาย เป็นก้าวแรกๆเริ่มต้นที่ควรทำ ก่อนจะหาสารอาหารอื่นๆมาสะสม" คือ ตรรกะที่ถูกต้อง ของการเลือกทานอาหาร

และ จากคุณสมบัติที่มากมายของคลอเรลล่า งานวิจัย ความรู้ เหตุผล และ ข้อสรุปที่เป็นตรรกะทางวิทยาศาสตร์ จึงสามารถบอกได้ว่า

"คลอเรลล่า ที่ปลอดภัย (เป็นออร์แกนิกส์ 100%) คือ อาหารเสริม ที่จะทำให้ การทานอาหาร ของคุณ สมบูรณ์"

และ การทานอาหาร ได้ สมบูรณ์ สมดุล พอดี คือ "ยา" ที่ดีที่สุด ของทุกสิ่งมีชีวิต


______________________________________________________________________________

* นอกจาก ผนังเซลล์ที่มีความสามารถในการกำจัดสารพิษแล้ว คลอเรลล่า ยังประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อสมอง ระบบประสาท และ ระบบฮอร์โมน ที่เซลล์พร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องผ่านการย่อย โดย 60% ของน้ำหนักตัว คือ กรดอะมิโนครบทุกชนิดที่มนุษย์ต้องการ อีก 13% ของน้ำหนักตัว คือ กรดนิวคลีอิก ที่เป็นสารอาหารที่เซลล์ใช้ในการซ่อม DNA RNA นอกจากนี้ ยังมีวิตามิน B12 ในปริมาณสูงที่สุดตัวหนึงของอาหารกลุ่มพืช (คลอเรลล่า ถือเป็นแหล่งวิตามิน B12 ของผู้ทานมังสวิรัติ) สารอาหารเหล่านี้ จะช่วยให้ สมอง และ ระบบประสาท ทำงานได้อย่างราบรื่น ช่วยให้ผู้ทานรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่ง มีส่วนช่วยในการลดความเครียดทางกาย โดยเฉพาะ สมอง และ ระบบประสาทได้เพิ่มขึ้นอีกทาง