อาจเป็นโรคที่ทุกคนมองข้ามคิดว่าไม่อันตรายแต่ “นิ่วถุงน้ำดี หรือ Gall stone” นั้นเป็นโรคในระบบทางเดินน้ำดีที่พบได้บ่อยที่สุดถึง 10-20 % ของประชากร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะพบในผู้หญิงรูปร่างท้วมอายุ ประมาณ 40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีบุตรหลายคน แต่อย่างไรก็ตามบางคนก็ตรวจพบตอนไม่มีอาการผิดปกติใดๆ อย่างไรก็ตาม แม้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงบุคคลทั่วไปก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการของโรคนิ่วถุงน้ำดี 1-2 % ต่อปี และปัจจุบันคนไทยนั้นเป็นโรคนิ่วถุงน้ำดีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นิ่วถุงน้ำดี ส่งผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง?
นิ่วถุงน้ำดีมีจะหลายประเภท เช่น ประเภทเกิดจากคอเลสเตอรอล(Cholesteral stones) หรือประเภทเกิดจากสารให้สี(Pigment stone) ในแถบเอเชียส่วนใหญ่นั้นจะเป็นประเภทเกิดจากสารให้สี มีลักษณะเป็นก้อนกลมหรือเหลี่ยมๆ สีเข้มๆ ซึ่งเกิดจากการขาดสมดุลของน้ำดี หากปล่อยก้อนนิ่วนี้ไว้เฉยๆจะทำให้เกิดปัญหาตามมาโดยก้อนเนื้อนี้จะไปอุดถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีอักเสบ หรือหลุดไปอุดท่อน้ำดีใหญ่ทำให้ติดเชื้อตัวและตาเหลือง บางครั้งถ้ามีนิ่วค้างอยู่เป็นเวลานาน อาจจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้

นิ่วถุงน้ำดี ร่างกายจะมีอาการอย่างไร?
อาการของโรคนี้ในช่วงแรกอาการจะมีเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดจุกแน่นท้อง ใต้-ชายโครงขวา หรือลิ้นปี่ ท้องอืด อิ่มง่าย โดยเฉพาะกินอาหารมัน/หลังอาหารมื้อใหญ่ แต่ถ้าเป็นมากมีอาการอักเสบของถุงน้ำดีจะมีอาการปวดท้องมาก มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยการทำอัลตร้าซาวด์ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆเลย อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แต่ถ้ามีอาการหรือโรคแทรกซ้อนจากถุงน้ำดี ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาผ่าตัดก่อน ไม่ควรตัดสินใจเอง ซึ่งปัจจุบันการผ่าตัดส่องกล้องถุงน้ำดีได้กลายเป็นการรักษามาตราฐานเพื่อรักษาภาวะนิ่วถุงน้ำดีมานานแล้ว โดยการเจาะรูเข้าไปในช่องท้อง 3-4 จุด ทำให้เจ็บแผลน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว 1-2 วันก็กลับบ้านได้ ยกเว้นกรณีที่ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน ถ้าเป็นมากบางครั้งอาจจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นรายๆไป ทางที่ดี อาจต้องตัดถุงน้ำดีที่มีปัญหาก่อนเกิดเรื่องจะดีกว่า

การตัดถุงน้ำดีมีผลอะไรต่อร่างกายหรือไม่?
น้ำดีถูกสร้างจากตับมาเก็บไว้ในถุงน้ำดี เช่น เวลาเรากินอาการที่มีไขมัน น้ำดีก็ถูกขับออกมาเพื่อช่วยย่อยไขมัน ดังนั้นถ้าเอาถุงน้ำดีออกไปแล้ว สิ่งที่ต้องปรับพฤติกรรมคือการกินอาหารพวกมันๆได้น้อยลง อาจจะต้องเน้น พวกผัก ปลา มากขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโรคนี้มักมีอายุ 40-50 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ควรลดอาหารประเภทไขมัอยู่แล้ว แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะปรับตัวได้เองตามธรรมชาติ


ที่มาของข้อมูล https://www.bangkokhospital.com/index.php/th/diseases-treatment/gallstones-in-the-gallbladder