ไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสดูภาพยนต์เรื่อง The Imitation Game (ถอดรหัสลับอัจฉริยะพลิกโลก) เมื่อดูจบรู้สึกจุกในอกจนต้องเขียนระบายออกมาบ้าง และคิดว่าทำไมก่อนหน้านี้ไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่รู้จักชื่อ Alan Turing ในหนังสือประวัติศาตร์คอมพิวเตอร์ มานานมากแล้ว จนต้องเก็บภาพยนต์เรื่องนี้ไว้เป็นอีกเรื่องของภาพยนต์ที่ชอบที่สุดอีกเรื่องตลอดกาล


ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมภาพยนต์ว่าทำออกมาได้ดีมาก สมแล้วที่ได้รับรางวัลมากมาย และคะแนน 8.1/10 จาก IMDB ซึ่งในเรื่องเล่าถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สัมพันธมิตรสู้กับจักรวรรดิ์นาซี โดยที่นาซียังคงได้เปรียบจากการใช้เครื่องเข้ารหัสชื่อว่า Enigma ในการสื่อสารกันในกองทัพ ทำให้ฝ่ายสัมพันธ์มิตรไม่สามารถล่วงรู้การปฏิบัติการใดๆ ก่อนนาซีจะลงมือได้ (ไม่รู้เขา แต่เขารู้เรา)


ดังนั้น ณ เวลานั้นจึงฝ่ายสัมพันธมิตรจึงได้แต่รอเวลาแพ้เท่านั้น ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรได้สร้างทีมขึ้นมาพยายามถอดรหัสด้วยมือแล้ว แต่ไม่เคยทันกาล จน Alan Turing ได้เสนอตนเองเข้ามาทำงานนี้ ด้วยความเชื่อที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมของทีมทำงานว่า หากศัตรูเป็นเครื่องจักรก็ต้องสู้ด้วยเครื่องจักรเท่านั้น แน่นอนความเชื่อนี้ถูกปฏิเสธ แต่ Alan ก็ต่อสู้จนได้ทำงานนี้จนได้ Alan เป็นนักคณิตศาสตร์ที่สนใจเรื่องการถอดรหัสมาตั้งแต่เด็กด้วยคำแนะนำของคริสโตเฟอร์ เพื่อนรักของเขา Alan ด้วยคำถามที่ว่า "ทำไมต้องสร้างมีวิชาถอดรหัส ในเมื่อเหตุการณ์ปกติมนุษย์ก็เข้ารหัสเพื่อสื่อสารกันอยู่แล้ว" มีวัยเด็กที่แตกต่างจากคนทั่วไป Alan มักหมกมุ่นอยู่กับการถอดรหัสอักษรไขว์ รายละเอียดอื่นๆ สามารถเข้าไปดูได้จากในภาพยนต์



แต่ประเด็นที่จะเขียนต่อไปนี้ไม่ได้เป็นประเด็นเรื่องการทำภาพยนต์แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของพระเอกในเรื่องนี้ หรือ Alun Turing กับการอดทนรักษาความจริงและความเชื่อของตนเองไว้จนทำมันสำเร็จ ในสังคมสิ่งแวดล้อมที่ยากจนแทบเป็นไปไม่ได้ สำหรับการอธิบายสิ่งที่เค้าเห็นให้คนอื่นเห็นเหมือนเค้าได้ (ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน) ความเชื่อในงานว่าต้องทำงานนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปกป้องประเทศจากภัยสงครามกับกองทัพนาซีได้ เริ่มจากอดทนรักษาความเชื่อของตนเองไว้ให้ได้ก็ยากมากแล้ว แล้วทำให้ทีมของเค้าเชื่อได้อีก จนเมื่อทำงานเค้าสำเร็จ ก็ยังต้องปกปิดเป็นความลับเพื่อป้องกันข้าศึกรู้ จนเมื่อสงครามชนะก็ยังปกปิดเป็นความลับเรื่องตัวเอง และทีมทำงานอีก


โดยรวมแล้วชีวิตส่วนตัวน่าสงสารมาก และเป็นอีกคนที่ต้องจบชีวิตไปเงียบๆลำพัง โดยที่สังคมคนส่วนใหญ่ขณะนั้น ไม่รู้จักงานที่ Alan ได้ทำ ให้เค้าได้ใช้ชิวีตทำตามเป้าหมายตนโดยที่ไม่รู้ว่า ถ้า Alan ทำไม่สำเร็จเค้าอาจไม่มีวันนี้เลยก็ได้

เราไม่อาจรู้ได้ว่าในตอนนั้น Alan Turing ตัดสินใจทำอย่างนั้นทำไม แต่ที่แน่ๆ คือ เราได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ แน่ๆ ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าทุกวันนี้ยังคงมีการทำสงครามกันอยู่ เพียงแต่เปลียนรูปแบบไปเท่านั้น


จากเรื่องของ Alan ทำให้นึกถึงคน กลุ่มคน ใดๆ ที่ทำงานจากความจริง ความเชื่อใดๆ เพื่อต่อสู้กับความชั่วร้ายและประโยชน์ของคนส่วนรวม โดยที่ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ตนเห็นได้ให้กับคนที่ตัวเองรัก พ่อแม่ ครอบครับ เพื่อนฝูงได้เลย ดังนั้น จึงอยากขอขอบคุณในความเสียสละของคนเหล่านั้น ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักมา ให้ผมและครอบครัวได้ใช้ชีวิตทำตามเป้าหมายได้มา ณ ที่นี้ด้วย