Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Page 1 of 2 1 2 LastLast
Results 1 to 10 of 16

Thread: ***ประชาสัมพันธ์ค่า *** 90 ปี Waldorf Education

  1. #1
    amm's Avatar
    amm is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    182
    Warning Points:
    0/5
    เผื่อคนที่มีลูกเล็กๆสนใจการศึกษาแบบนี้นะคะ ลูกเราเรียนอยู่ค่ะ เป็นอีกทางเลือกนึงของการศึกษาในประเทศไทยนะคะ

    Waldorf education is a pedagogy based upon the educational philosophy of the Austrian philosopher Rudolf Steiner, the founder of anthroposophy. Learning is interdisciplinary, integrating practical, artistic, and conceptual elements. The Waldorf approach emphasizes the role of the imagination developing thinking that includes a creative as well as an analytic component. The overarching goals of this educational approach are to provide young people the basis on which to develop into free, moral and integrated individuals, and to help every child fulfill his or her unique, the existence of which anthroposophy posits. Schools and teachers are given considerable freedom to define curricula within collegial structures.

    credit from : http://en.wikipedia.org/wiki/Waldorf_education

    งานจะมีขึ้นในวันที่ 4-5 กันยายน 2552 ณ หอประชุม คุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ รายละเอียดของงานดูได้จาก link นี้นะคะ
    http://waldorfactivities.ning.com/page/3785862:Page:183

  2. #2
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    80
    Warning Points:
    0/5
    ขอบคุณมากมากเลยนะคะ เราเป็นคนนึงที่สนใจแนวนี้มากเลยค่ะ
    เคยลองไปดูมาแล้วค่ะ หลายที่เลย ไตรทักษะ ก็ไปมาแล้ว
    ปัญโญธัยก็ไปมาแล้วค่ะ แต่ตอนนั้นคิดไม่ออกเลยว่าจะยังไง
    เพราะที่บ้านค้านสุด ๆ โดยเฉพาะคุณแฟน เราเลยสรุปเอาใกล้บ้านก่อนค่ะ ตอนนี้เราคิดได้อย่างนึงว่า การศึกษาครั้งแรก โรงเรียนแรกในชีวิตลูก
    เป็นอะไรทีสำคัญมากที่สุด เพราะมันเหมือนการเปลี่ยนโลกทั้งใบของเค้าครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เป็นการเริ่มต้นออกสู่สังคม ตอนนี้จะต้องคิดดีดีแล้วค่ะ
    ตอนนี้คิดอยู่ว่า ถ้าแนวการเรียนปัจจุบันที่ลูกเรียนไม่ได้ผล
    เราจะย้ายแนวเป็นแนวนี้แล้วค่ะ แต่ก็ดูดูอยู่ค่ะ
    ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทุกคนในครอบครัวด้วย

    ส่วนตัวของ จขกท. มีแนวโน้มให้ลูกเข้าที่ไหนเหรอคะ บอกเล่ากันบ้างนะคะ จะได้แชร์ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์แก่ลูกหลานเพื่อน ๆ ท่านอื่น ๆ ค่ะ
    รวมถึงตัวเราด้วย

    ขอบคุณอีกครั้งค่ะ คิดว่าถ้ามีเวลาต้องไปแน่นอน

  3. #3
    amm's Avatar
    amm is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    182
    Warning Points:
    0/5
    สวัสดีค่ะ น้องฝ้าย ลูกพี่เรียนที่ไตรทักษะค่ะ เรียนมานานแล้วจ้า ตอนนี้อยู่ ป.5 แล้น

    อย่างที่หนูบอกแหละค่ะ ว่าการที่จะเข้าโรงเรียนแบบนี้ ต้องคิดหนัก เพราะไม่ใช่แค่เราส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนเท่านั้น แต่ต้องปรับการใช้ชีวิตในครอบครัว และคนรอบข้างทุกอย่างที่เคยทำ เช่น โรงเรียนนี้จะไม่ให้ดูทีวี ไม่ให้เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ไม่ให้เล่นเลโก้ เพราะทุกสิ่งเป็นของสำเร็จรูป ไม่ได้ช่วยให้เด็กคิดเป็น

    อย่างทีวี ไม่ใช่แค่เราไม่ให้ลูกดู เราเองก็ไม่ควรดูค่ะ คืออย่างน้อยก็ต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น ตอนแรกที่ให้ลูกเข้า คิดหนักจริงๆ เพราะอย่างที่เป็นๆกันนะคะ เราดูทีวีมากันตั้งแต่เด็กจนโต จะให้อยู่ๆเลิกเลยก็กลัวว่าจะทำไม่ได้ แต่เราทำได้ค่ะ (ทั้งเรา + สามี) แล้วอย่างวันเสาร์ต้องพาลูกไปหาคุณตา คุณยาย ซึ่งปกติดูทีวีทุกวัน พอหลานมาเลิกดูได้ค่ะ (แต่เฉพาะตอนหลานมานะคะ ^^')

    เหตุผลของการไม่ให้เด็กดูทีวี คร่าวๆนะคะ
    - แทนที่เด็กจะเอาเวลา ไปเล่นสนุก สร้างกล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อใหญ่ ได้อยู่กับธรรมชาติ หนังสือ ต้นไม้ ใบหญ้า แต่ต้องมารับข้อมูลข่าวสารที่ยังไม่จำเป็นสำหรับช่วงชีวิตของเค้า พี่เคยอยากให้ลูกดู animal planet เพราะเห็นเค้าชอบสัตว์ แต่คุณครูบอกว่า ควรจะพาเค้าไปสวนสัตว์ ให้เค้าสัมผัสชีวิตสัตว์จริงๆดีกว่า นั่งดูทีวี แล้วที่สำคัญเค้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องชีวิตสัตว์ขนาดในสารคดี
    แล้วการนั่งดูทีวี เป็นการรับข้อมูลอย่างเดียว ไม่มีการตอบสนองกลับ ทำให้เด็กไม่รู้จักคิด

    แล้วการเรียนแบบนี้ ไม่ได้เน้นวิชาการ แต่เน้นในการสร้างคนค่ะ สอนให้เค้ามองสิ่งต่างๆด้วยความสวยงาม

    เราก็แค่หวังว่าโตขึ้น เค้าจะมีความสุขกับการใช้ชีวิต ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร

  4. #4
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    80
    Warning Points:
    0/5
    สวัสดีค่ะพี่ amm ^___^

    ฝ้ายไปมาแล้วพี่คะ ทั้งสองที่เลยค่ะ โดยเฉพาะโรงเรียนของลูกพี่เค้าให้ซื้อหนังสือเล่มนึงมาอ่านก่อน (ชือเรื่องคุณคือครูคนแรกของลูก)

    แล้วให้กลับไปถามตัวเองว่าทำได้มั๊ย เค้ามีหลักสูตรอบรมพ่อแม่ด้วยค่ะพี่ แล้วเค้าบอกว่า รับได้มั๊ยกับการที่โรงเรียนไม่มีสมุดพก ไม่มีการสอบแข่งขัน ไม่มีการแบ่งชั้น ไม่มีการใช้แบรนด์ และ เพื่อนเรายิงคำถามไปว่า แล้วเด็กหลังจบ ม. 6 สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไหนได้บ้าง คำถามนี้บ่งบอกถึงความคาดหวังในตัวลูกซึ่งขัดกับนโยบายของโรงเรียนแนวนี้เลยค่ะ

    จากนั้นเค้าก็ให้เรากลับมาอีกครั้งเพื่อสังเกตการเรียนการสอนของเด็ก เพราะว่าเราแต่งตัวเป็นจุดสนใจ (เราแค่ใส่กางเกงสีดำนะ
    แล้วเพื่อนเราก็ใส่กระโปรงเรียบร้อยสุด ๆ) เค้าบอกให้แต่งตัวสีเนื้อ ห้ามใส่กระโปรงหรือกางเกงก็จำไม่ได้ค่ะ แต่เราติดอะไรก็ไม่รู้เลยไม่ได้ไป


    จากนั้นฝ้ายก็พาเพื่อนไปที่โรงเรียนปัญโยทัย ค่ะ ไปก็รู้สึกว่าเด็ก ๆ มีสมาธิในการเรียนมาก การเรยนของเค้าคือการเล่นกลางแจ้ง เห็นมีออกมาสร้างปราสาททราย
    มีบ่อทรายใหญ่มากมาก เด็กทุกคนมอมมาก แต่งตัวชุดไปรเวท กางเกงขายาว เสื้อยืด ไม่มีแบรนด์ สีผิวสีเดียวกันคือสีแทน แต่ใบหน้าทุกคนดูมีความสุข และบวกไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง (เสียดาย เราอยากดูที่โรงเรียนสวนสนุกไตรทักษะด้วยแต่ไปผิดเวลา) กลับมาที่ปัญโยทัยต่อค่ะ จากนั้นเราเจอเด็กคนนึง เราก็ถามเค้าว่ามาจากไหน เค้าบอกว่า มาจากโรงเรียนเอกชนชายล้วนแห่งนึงที่มีชื่อเสียงติดอันดับประเทศ เราก็ถามเค้าว่ามีความสุขมั๊ย เค้าบอกว่ามีมากมาก เราถามครู ครูบอกว่า เด็กที่เพิ่งมาเรียน ก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการปรับตัว มากกว่าเด็กที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่ขอบอกว่า เด็กทุกคนดูมีสมาธิมากนะคะ ไม่สนใจสิ่งเร้ารอบข้าง(คือฝ้ายกับเพื่อนที่นั่งหัวโด่จ้องมองอยู่) เด็ก ๆ ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าเทียบกับโรงเรียนอื่น ที่เคยไป มีที่นึงย่านสุขุมวิท พอเด็ก ๆ เห็นฝ้ายเดินไปดู ก้อจะวิ่งมาที่ประตู ร้องไห้กันใหญ่ นั่นแหล่ะค่ะที่ฝ้ายรู้สึกประทับใจหลาย ๆ อย่าง

    สุดท้ายนะคะพี่ แอบบอกเรื่องดูโทรทัศน์ว่า ยากมากมาก เพราะทุกวันนี้ไปส่งลูกไปเรียน ก็ต้องล่อด้วยการ์ตูน สโนว์ไวท์ ให้เค้านั่งนิ่ง ๆ ทานข้าวในรถ
    (ขนาดบ้านกับโรงเรียนใกล้กันมากกก)

    ดีใจจังค่ะที่เห็นลูกพี่เรียนที่นี่แล้ว happy อย่างที่บอกเลยค่ะ ต้องอยู่กับครอบครัวเป็นหลักเลยด้วย ไม่รู้ว่า คุณปู่ ย่า ตา ยาย
    ไปเห็นหลานตากแดดแล้วจะรับได้มั๊ย เพราะพาแฟนไปดู แล้วแฟนกลับมาเล่าแบบ คูณ สอง บวกสิบ เท่าตัว แต่ฝ้ายชอบค่ะพี่
    ลูกโดนแดดจะได้แข็งแรง มีภูมิ อยากลองเรียนดู (แต่ค่าเรียนก็หลัก 6 เหมือนกันเนอะพี่) ตอนนี้คิดไม่ออก สับสันไปหมดเลยค่ะ แฟนก็จะให้เข้าอินเตอร์ อีกคนก็จะให้เข้าสองภาษา อีกคนก็จะให้เข้าใกล้บ้าน ฝ้ายต้องทำการบ้านเยอะมากมากเลยค่ะ ตอนนี้เรียนอยู่ที่นึง แบบว่า มันจวนตัวก็เลยเลือกเอาที่สะอาดทีสุด ของเค้าก็ดีแต่ว่า การบ้านเยอะมากก สำหรับเด็ก 2 ขวบ อยากเป็นลมค่ะ


    ขอบคุณพี่ amm มากสำหรับคำแนะนำนะคะ
    อย่าลืมตอบหนูนะ ว่าลูกพี่เรียนตั้งแต่อายุเท่าไหร่อ่ะคะ

  5. #5
    amm's Avatar
    amm is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    182
    Warning Points:
    0/5
    แหะ แหะ คุยกันอยู่ 2 คน ^^

    ลูกพี่เริ่มเรียนตอนป.1 จ้ะ เสียดายมาก ตอนแรกก็เรียนอนุบาลใกล้บ้านค่ะ ลูกจะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้า สามารถทานข้าวที่บ้าน แล้วค่อยไปโรงเรียนได้ ก็เรียนจนอนุบาล 3 ต้องไปหา ป.1 เข้าต่อ ก็เลยเริ่ม search internet ดูว่า โรงเรียนในกรุงเทพ มีแบบไหนบ้าง

    ดูมาหลายที่มากค่ะ ตอนแรกสนใจโรงเรียน รุ่งอรุณค่ะ แต่มันไกลเกิน ก็ลองไปดูโรงเรียนอมาตยกุล ก็คิวยาวมาก แล้วไม่ได้เรียนตั้งแต่อนุบาล เค้าไม่ค่อยรับเด็กใหม่


    หาไปหามาเจอโรงเรียนปัญโญทัยค่ะ ก็พยายามหาอ่านจากในเน็ตว่าแนว วอล์ดอร์ฟเป็นแนวแบบไหน อ่านแล้วดูน่าสนใจดี ก็เลยเข้าไปคุยกับภรรยาคุณหมอพร เจ้าของโรงเรียน ตอนนั้นโรงเรียนยังอยู่สามโรง ถนนสรรพาวุธอยู่เลยค่ะ (ตอนนี้อยู่ซอยวัชรพล) ตอนไปคุยชอบมาก เค้าก็พาไปดูเด็กๆที่เล่นกันอยู่กลางสนาม บางคนก็โยนถุงถั่ว เล่นกันเป็นกลุ่มๆ แต่ก็ต้องถอดใจ เพราะบ้านพี่อยู่ลาดพร้าว กว่าลูกจะไปทันโรงเรียนเข้า คงต้องออกตั้งแต่ตี5 สงสารลูก ก็พอดีไปคุยกับคุณพ่อเพื่อนลูกที่เรียนอนุบาลด้วยกัน เค้าบอกว่าแนวนี้ยังมีอีกที่นึงคือ รร.แสนสนุกไตรทักษะ ตรงร้านอาหารบ้านต้นซุง

    ก็เลยไปคุยกับคุณป้าอุษา เจ้าของโรงเรียน พูดตรงๆว่าพี่ประทับใจปัญโญทัย มากกว่า แต่ก็ไม่มีทางเลือก อย่างน้อยก็แนวเดียวกัน แต่อาจจะต่างกันในบางเรื่อง เดี๋ยวจะมาเล่าต่อ หลังจากคุยทำความเข้าใจคร่าวๆ เรื่องคอนเซ็ปของการเรียนแนวนี้ เค้าก็เสนอว่าถ้าสนใจสามารถมาดูการเรียนการสอนได้ ตอนนั้นไปดูชั้น ป4 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน ณ ตอนนั้น (ขณะที่ปัญโญทัยมีมัธยมแล้ว) ก็เข้าไปดูการสอนในห้อง ตอนนั้นสอนเรื่องม้า ครูเค้าก็จะวาดรูปม้าบนกระดาน เป็นม้าที่สวยมากๆค่ะ เพื่อให้เด็กๆวาดตาม แล้วก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับม้า เล่าไปถามเด็กไป ก็มีการโต้ตอบกันในชั้นอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้นก็มีการทำกิจกรรมวงกลม แต่จำไม่ค่อยได้แล้วว่าทำอะไร รู้แต่ว่าเด็กๆเก่งมาก เรายังทำไม่ได้เลย

    สรุปเลยพาลูกมาเข้าโรงเรียนนี้ ตอนจะเข้าต้องพาไปให้ครูประจำชั้นดูตัว แล้วก็สัมภาษณ์พ่อแม่ ก่อนนะคะ แล้วเค้าก็ให้ลูกพี่วาดรูปให้ดู แล้วก็เข้าเรียนค่ะ


    ข้อแตกต่างที่เห็นจากปัญโญทัย และ ไตรทักษะ ก็คือ ที่ปัญโญทัยเค้าจะไม่ค่อยให้ผู้ปกครองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเรียนมากเท่าไตรทักษะ เข้มงวดกว่า อุดมการณ์มีเยอะกว่า เข้าใจ concept ของ Waldolf ได้ลึกซึ้งกว่า เพราะเค้ามีประสบการณ์มานานกว่านั่นเอง แต่ที่ไตรทักษะจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเยอะมาก กิจกรรมในโรงเรียนพ่อแม่จะมาช่วยกันทำร่วมกันกับเด็กๆ

    เมื่อตอนป.4 เด็กๆต้องไปอยู่ที่ ม.เกษตร กำแพงแสน เพื่อทำงานเลี้ยงวัว เป็นเวลา 1 อาทิตย์ค่ะ
    คิดถึงลูกมาก ไม่เคยจากกันเลย ซึ่งนี่เป็นการฝึกเด็กให้รู้จักช่วยตัวเอง รวมถึงฝึกพ่อแม่ไม่ให้ยึดติดด้วยค่ะ

    อ้อ ลืมเล่าค่ะ ที่โรงเรียน เด็กๆทุกคนทานข้าวแล้วต้องล้านจานช้อนเองนะคะ แล้วที่บ้านก็ต้องมีงานบ้านทำทุกคน ของลูกพี่ ถูบ้าน ให้อาหารปลาค่ะ (คุณครูบอกว่าต้องให้เพิ่มอีก น้อยไป ^^") เพื่อให้เด็กรู้จักว่าการอยู่อาศัยร่วมกัน ทุกคนควรช่วยเหลือกันในการทำหน้าที่ต่างๆภายในบ้าน

  6. #6
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    80
    Warning Points:
    0/5
    พี่คะ แล้วลูกพี่ต้องไปเรียนพิเศษ หรือเข้า play group ที่ไหนหรือป่าวคะ
    แล้วพวกเสื้อผ้า การ์ตูน แบรนด์เนมเด็ก โรงเรียนเค้าก็ห้ามใช่มั๊ยคะพี่
    ที่ถามเพราะว่า ลูกเพื่อน เคยเอาไปเีีรียนที่ บ้านครูหนูดี
    อัจริยะสร้างได้ (รังสิต) เรียนแล้วตอนแรกเพื่อนบอกว่าเวิร์คมาก
    หนูเคยไปดูนโยบายโรงเรียน เค้าบอกเลยว่า
    ห้ามลูกเราใส่แบรนด์เนมเด็ก ห้ามใช้ของพวก ดอร่า คิตตี้ เจ้าหญิง
    อะไรแบบนี้


    ตอนหลังเพื่อนหนูให้ลูกออก เพราะว่า โรงเรียนไกลบ้านมาก
    (เพื่อนหนูอยู่วัชระพล) บวกกับอุดมการณ์ของแม่ไม่แน่วแน่พอ
    ประจวบกับหนูแนะนำโรงเรียนปัญโญทัยให้เพื่อนไปดู
    ใกล้บ้านเพื่อนหนูมาก เพื่อนเค้าก็เลยจะไปเรียนที่นั่น
    แต่เค้ารับตอน 4 ขวบนะคะ

    (จะบอกว่า เพื่อนหนูก็ซื้อแต่ของแบรนด์ให้ลูกเหมือนกัน)
    แต่ก็มีอุดมการณ์แน่วแน่ว่าอยากเรียนโรงเรียนแนวนี้ เคยเอาเสื้อผ้า
    ของเล่นแบรนด์เด็กไปให้ เค้าก็บอกว่า ไม่อยากให้ลูกใช้แล้ว
    เพราะจะเตรียมตัวให้ลูกเรียนปัญโญทัย แต่เ้ค้าก็ยังทำไม่ได้ค่ะ
    ล่าสุดยังชวนกันไปช๊อปอยู่เลย เลยไม่เข้าใจว่า
    มันเป็นเรื่องใหญ่มากในชีวิตของเด็กที่เีรียนแนวนี้เลยหรือป่าวคะ


    แหะ ๆ พูดซะยาว อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ ขอถามอีกนิดนึงว่า พี่อยากให้ลูกเรียนไปจนถึงเมื่อไหร่คะ แล้วมัธยม อยากให้ไปต่อต่างประเทศหรือป่าวคะ

    ใจหนูชอบไตรทักษะนะคะ เพราะ พ่อ แม่ มีส่วนร่วมเยอะดี อยากเป็นส่วนนึงในการเรียนรู้ในโลกแห่งการศึกษาของลูกหน่ะค่ะ ส่วนอมาตยกุลนี่ เพื่อนหนูบอกว่า คิวยาวเหมือนกันค่ะ (แต่ยังไม่เคยไปดูโรงเีรียนค่ะ)
    เรื่องทำความสะอาดล้างช้อนเองนี่ ชอบมากเลยค่ะ

    ไม่รู้ว่าถ้าลูกเราเข้าตอนอนุบาล แล้วเค้าจะให้ลูกเราวาดรูปให้ดูมั๊ยคะ
    (ยังเขียนไมได้เลยค่ะ)


    คิดแล้วหวั่นใจกับสังคมไทยสมัียนี้ นักเรียนบางที่ วัดดีกรีกันที่ชื่อเสียงสถาบัน
    ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องปลูกฝังตั้งแต่ครอบครัวเลย ต้องสอนให้ลูกหนักแน่นมากมาก
    (แต่แม่ไม่ค่อยจะหนักแน่นเอาซะเลย)

    ขอบคุณพี่มากมาก ที่ให้ความรู้นะคะ คุยกันอยู่สองคนเนอะ อิอิ

  7. #7
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    142
    Warning Points:
    0/5
    เป็นการอ่านอย่างตั้งใจมาก ๆ (ปกติเวลาเห็นกระทู้ยาว ๆ ถ้าไม่ใช่ห้องสวยงาม ส่วนใหญ่เราจะผ่านเลยค่ะ ขี้เกียจ) วันนี้เข้ามาดูแล้วอ่านทุกตัวอักษร แล้วขอชื่นชมคุณแอมและน้องฝ้ายเลยค่ะ ที่มีความตั้งใจจริงและเปลี่ยนแปลงตัวเองและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูก นับถือมาก ๆ ค่ะ

    ตัวเราอยากให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ๆ เหมือนกัน ไม่อยากให้เป็นเด็กติดทีวี (แบบพี่สาวเค้า) แต่ทำไงล่ะ พ่อเค้า พี่สาวเค้า กลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่ทำคือ คว้ารีโมทและเอนบนโชฟา เราหงุดหงิดแต่ทำไรไม่ได้ เพราะพูดมากก็ชวนทะเลาะ และ ณ ตอนนี้ ลูกสาวเรา(เกือบสองขวบ) ก็ติดการ์ตูนไปเรียบร้อยแล้วค่ะ

    เราอ่านเรื่องการเรียนการสอนแบบที่คุณแอมแนะนำมาแล้วชอบมาก เพราะเราเป็นคนไม่ชอบการแข่งขันที่สุด เราไม่ชอบ Ego เรามองว่าคนอีโก้จัดน่ากลัวจัง

    ทีนี้มีคำถามน่ะค่ะ ถึงทั้งคุณแอมและน้องฝ้ายเลย ว่าที่ไทยมีโรงเรียนลักษณะนี้รองรับเด็กไปจนถึงอายุเท่าไรเอ่ย แล้วตัังใจจะส่งเสริมการเรียนการสอนลักษณะนี้ไปจนลูก ๆ อายุเท่าไรคะ ขอบคุณมากค่า

  8. #8
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    94
    Warning Points:
    0/5
    มาขอเก็บข้อมูลด้วยคนค่ะ (ข้อมูลปึ้กมากๆๆ)

  9. #9
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    3,485
    Warning Points:
    0/5
    เข้ามาเก็บข้อมูลด้วยคนจ้ะ เพราะตอนนี้น้องสาวบ้านอยู่แถววัชรพล กำลังหาโรงเรียนให้ลูกชายอายุ สองขวบครึ่งอยู่ แต่ว่าโรงเรียนแบบนี้คงไม่สะดวกสำหรับน้องสาวพี่ เพราะว่างานของเค้าสองคนผัวเมียต้องเดินทางบ่อยกันทั้งคู่ ไม่มีเวลาที่จะไปมีส่วนร่วมกับลูกกับโรงเรียนแน่ๆ

    แต่นิดนึง มีความรู้สึกว่าเค้า Stric จังเลย กับเรื่องไม่ให้ดูทีวี ไม่ให้ใช้ของแบรนด์ เราว่าของทุกอย่างมันมีทั้ง "ดีและเสีย" นะอย่างมีลูกเพื่อนคนหนึ่ง พ่อเค้า (เป็นเด็กลูกครึ่ง) ไม่ให้ลูกดูทีวี กับเล่นคอมพิวเตอร์เลย พอเค้ามาเล่นที่บ้าน เลยนั่งดูทีวีไม่ขยับไปทำอะไรเลยเพราะว่าไม่เคยดู กับคอมพิวเตอร์ก็ปรากฎว่าเล่นไม่เป็นเปิดไม่เป็น พอมาได้เล่นเกมส์ในคอมพิวเตอร์เลยนั่งไม่ลุกเลยเหมือนกัน เวลาที่มี play group ตามบ้านเพื่อนเด็กคนนี้จะไม่เล่นกับเพื่อนเลยแต่จะเอาแต่นั่งดูทีวีอย่างเดียว แทนที่เราจะ"ห้าม" แต่เราเปลี่ยนเป็น "จำกัดเวลาเล่น" น่าจะดีกว่า (ความเห็นส่วนตัว) อย่างลูกเราตอนนี้ก้อพยามยามจะจำกัดเวลาว่าเล่นได้ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงและต้องเปลี่ยนกันเล่นกับคนอื่นด้วย เอานาฬิกามาตั้งไว้ให้ดูเลย ว่าตั้งแต่เวลานี้ถึงเวลานี้นะ (สอนให้รู้จักการ Chair ไปในตัวและให้รู้จักดูเวลาด้วย)

    เพราะในโลกของความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถ "หลีกเลี่ยง" ไปจากสิ่ง "เร้า" ต่างๆได้หรอกแต่แทนที่เราจะ "ห้าม" เราน่าจะ "สอน"ให้เค้าได้รู้ถึง "คุณและโทษ" และหาทาง "ป้องกัน" จากสิ่งเหล่านั้นดีกว่า มีครั้งหนึ่ง ลูกสาวเรากลับมาบ้านแล้วพูดสบถคำหยาบของฝรั่งออกมาเราตกใจมากว่า เฮ้ย..ลูกเอามาจากไหน แต่แทนที่เราจะไปไล่ถามหาว่าเอามาจากใคร เด็กคนไหนเป็นคนพูด เราก็สอนลูกเราว่า "คำๆนี่ไม่ดีนะลูก เราไม่พูดกันหรอก ถ้าลูกได้ยินเพื่อนคนไหนพูดอีกก็ให้บอกกับเพื่อนด้วยว่ามันไม่สุภาพ" ก็จบ แต่เทียบกับแม่ฝรั่งอีกคน มาไล่ถามหาว่าลูกใครเป้นคนพูดแล้วก็มาโวยวาย ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนลูก อะไรแบบเนี้ย

    อย่างทีวี "เราบอกลูกว่าถ้าดูทีวีเยอะๆนะตาลูกจะกลายเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนทีวีเลยนะ ไม่กลัวเหรอ " แต่ลูกเราก็ไม่ได้ติดมากมากอ่ะไร พอเค้าเบื่อๆเค้าก็ปิดทีวีมาทำอย่างอื่นเอง เราชอบ"เดินสายกลาง" มากกว่าและคิดเสมอว่าของทุกอย่าง "มีทั้งข้อดีข้อเสีย"

    อีกอย่างเรื่องของคนแปลกหน้า เห็นได้ยินแต่บอกกับเด้กว่า"ให้ระวังคนแปลกหน้านะอย่าไปพูดกับคนแปลกหน้านะ แต่เคยบอกถึงวิธีป้องกันตัวบ้างมั้ย" เราจะสอนลูกเราเสมอว่า" ถ้ามีคนแปลกหน้ามาจับตัวลูกไป ให้รีบวิ่งไปหาคนที่เค้าสวมเครื่องแบบ รปภ หรือตำรวจนะ ตะโกนขอให้ช่วยให้ดังที่สุด ทุกภาษาที่ลูกพูดได้ (ลูกเราพูดสามภาษา) และถ้ามันจับตัวลูกได้ ให้ดิ้นสุดตัวอย่าอยู่เฉยๆ กัดได้เป็นกัด ตี เตะ ต่อย ข่วน มันอย่าให้มันเอาตัวลูกไปได้นะ ถ้าลูกกำลังปั่นจักรยานหรือทำอไรอยู่อย่าทิ้งสิ่งของเหล่านั้นให้ถือไว้ จับไว้ให้แน่นที่สุด อย่างน้อยมันก็คงจะยากกว่าถ้ามันต้องอุ้มทั้งเด็กและจักรยานแหล่ะน้า"

    เรื่องของแบรนด์เนม บางครั้งมันห้ามกันไม่ได้เราก็ต้องสอนลูกเรา ว่ามันจำเป็นแค่ไหน ที่ต้องมีต้องใช้ "เรามาใช้แบบนี้ดีมั้ย เพราะว่ามันก็เป็นแก้วน้ำเหมือนกัน อันนี้ แก้วใหญ่กว่าแก้วเจ้าหญิงอีกนะลูกและราคาก็ถูกกว่า เราจะได้มีเงินเหลือเอาไว้ไปเที่ยวหรือทำอะไรอย่างอื่นที่ลูกชอบดีมั้ยค่ะ" แต่ลองมาคิดๆดูนะ เท่าทีเราซื้อของนะบางทีลูกไม่ได้อยากได้หรือชอบหรอก แต่พวก "พ่อแม่" นั้นแหล่ะเห็นว่าน่ารักดีเลยอยากซื้อให้ลูก (อันนี้เราเป็น จากประสบการ์ณตรงเลย แฮะๆ) และเราอยู่ในฐานะที่ซื้อได้ก็ซื้อ แต่ก็ไม่ได้พร่ำเพรื่อ ต้องเป็นเทศกาล เท่านั้นเช่น วันเกิด หรือคริสมาส เท่านั้น แต่โชคดีที่ลูกเราก้ไม่ติดแบรนด์เนมนะ

    ก็ถูกที่ว่าที่โรงเรียนห้ามไม่ให้เอาของแบรนด์เนมไป แต่ว่าในชืวิตจริงข้างนอก เราต้องพาลูกออกไปเจอกับเด้กคนอื่นที่ไม่ได้เรียนเหมือนลูกเราบ้างแหล่ะนา แล้วที่นี้จะเป็นยังงัยกันละ

    แต่ว่าเราชอบนะที่แบบว่า Learning by doing เนี้ย ออกไปเจอแดด เจอลมบ้าง เด็กๆจะได้แข็งแรง ที่โรงเรียนลูกเรา เค้าจะ "บังคับ"เลยว่าเด็กจะต้องใส่หมวกออกไปเล่นข้างนอกในตอนที่เค้ามีช่วงพักถ้าใครไม่มีหมวก จะให้เล่นแต่ในร่มเท่านั้น และมียูนิฟอร์มด้วย ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้าหน้าผม อันนี้ชอบเด็กๆจะได้ไม่แต่งตัวแข่งกันดี หรือเราก็จะทาครีมกันแดดให้ลูกอีกทีก้ได้

    แต่ว่าเหนื่อยมากเลยนะขอบอก แบบที่ว่าให้พ่อแม่มีส่วนร่วมในกิจกรรม หรือช่วยส่งเสริมพัฒนาการความรู้ของลูกเนี้ย ต้องเอาใจใส่เยอะ คนเป็นแม่นี่ต้อง Stand by เลยแหล่ะ (พี่ถึงออกจากงานมาเลี้ยงลูก full time งัย)

    น้องฝ้ายของลุกๆพี่ เราจะจัด Play group กันทุกวันศกร์หรือว่าเสาร์ เวียนกันไปตามบ้านของแต่ละคน และลูกพี่ตอนเด้กๆจะไปเล่นที่ Gymboree หรือ Little gym ค่ะ ทีเขียนมายาวๆเนี้ยเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆเลยนะค่ะ

  10. #10
    amm's Avatar
    amm is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    182
    Warning Points:
    0/5
    เรื่องเสื้อผ้า จะใส่เครื่องแบบนักเรียนแค่ 1 วันค่ะ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของทางกระทรวงศึกษาฯ ส่วนวันอื่่นๆใส่ชุดธรรมดา แต่ต้องเป็นสีสันสดใส (สีเทา ดำไม่ควรใส่ค่ะ) ต้องไม่มีลวดลายการ์ตูนค่ะ เพื่อไม่ให้เด็กสนใจแต่เรื่องการแต่งตัว หรือแต่งมาอวดกันค่ะ แค่ให้รู้ว่าเป็นเพียงแค่เครื่องนุ่งห่ม แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ใส่แบรนด์เนมนะคะ ถ้าสามารถหาเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ไม่มีลวดลาย ก็ใส่ได้ค่ะ
    จะบอกว่าเสื้อผ้าที่ไม่มีลวดลายนี่หายากมากๆค่ะ พี่ก็เลยใช้วิธีซื้อเสื้อยืดสีขาวไม่มีลาย แล้วให้ลูกวาดลงไปเองอ่ะค่ะ แบบนี้ครูไม่ว่าค่ะ เพราะทำเอง แล้วอีกอย่างกิจกรรมของเด็กที่นี่ คลุกฝุ่น คลุกทรายค่ะ แล้วก็มีการระบายสีน้ำเกือบทุกวัน เสื้อจะเน่ากลับมาบ้านทุกวันค่ะ ถ้าซื้อเสื้อผ้าดีๆใส่วันเดียวก็ไม่เหลือแล้วอ่ะค่ะ

    ณ ตอนนี้ที่โรงเรียนมีโึีึครงการมัธยมถึงแค่ ม.3 หรือเกรด 9 ยังไม่แน่ว่าจะมีต่อหรือเปล่า (แต่คิดว่ามี) แต่ถ้าไม่มีต่อพี่ก็คงจะให้ลูกไปเข้าปัญโญทัยต่อค่ะ จุดมุ่งหมายคือเรียนให้จบมัธยม 6 ค่ะ เพราะเรามาแนวนี้แล้ว ถ้าเปลี่ยนใจ โดยส่งให้ลูกไปเรียนโรงเรียนปกติ จะบอกว่าเด็กจะ suffer ค่ะ เพราะในช่วงประถมวิธีการสอนของแนวนี้ ความรู้ของเด็กจะล้าหลังกับโรงเรียนปกติอยู่ประมาณ 1 ปี แต่ก็มีผู้ปกครองบางคนที่ตัดสินใจให้ลูกออก เพราะกลัวว่าลูกจะไม่แน่นเรื่องวิชาการ กลัวลูกสอบเอ็นฯไม่ได้ ก็ให้ลูกไปเข้าโรงเรียนธรรมดา ก็ใช้เวลาประัมาณเกือบปี เด็กถึงจะสามารถปรับตัวให้เรียนทันเพื่อนได้อ่ะค่ะ เพราะฉะนั้น คิดให้ดีค่ะ แล้วต้องไม่ไปเปรียบเทียบลูกกับเด็กที่เรียนโรงเรียนปกติ

    ส่วนเรื่องที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่ ไม่ได้หวังค่ะ ถ้าเข้าไม่ได้อาจจะให้เรียนในนี้ เช่น Abac ที่ไม่ต้องสอบเอ็นท์ฯเข้า หรือส่งไปเรียนอเมริกา เพราะมีญาติอยู่ที่นั่นเยอะค่ะ แต่ถึงวันนั้นก็จะรู้เองค่ะ ว่าจะทำยังไง เพราะจริงๆแล้ว การเรียนแนวนี้จะเน้นเรื่องวิชาการตอนมัธยมปลายค่ะ โดยที่เค้าจะไม่แบ่งว่าเป็นสายวิทย์ สายศิลป์ เหมือนระบบปกติ แต่เด็กต้องเรียนทั้งหมด เพราะเค้าคิดว่าทุกเรื่องเป็นสิ่งที่เด็กต้องรู้ ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันทั้งนั้น รวมทั้งภาษา เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้ทั้งหมด

    เล่าเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ คุณครูประจำชั้นจะอยู่กับเด็กตั้งแต่ ประถม 1 - มัธยม 3 ค่ะ โดยที่จะเป็นผู้สอนเกือบทุกวิชา ยกเว้น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และก็งานหัตถกรรม ที่นี่มีชั้นละ 1 ห้องเท่านั้นนะคะ ห้องนึงจะมีนักเรียนประมาณ 20-23 คน อ้อ ลูกพี่ผู้ชายอยู่โรงเรียนนี้ต้องถักนิตติ้งนะคะ มีถักโครเชต์ด้วย เพราะจะช่วยในเรื่องสมาธิ และฝึกกล้ามเนื้อเล็ก แล้วเด็กจะได้เรียนรู้ว่า เค้าสามารถทำของใช้เองได้ ตั้งแต่เรียนมานี่ ลูกถักผ้าพันคอ ถักถุงใส่ขลุ่ย (ต้องเรียนขลุ่ย) ถักหมวก ถักถุงเท้า ทำตุ๊กตา มีสอนเย็บผ้า ปัก ทำกระเป๋าใส่ไหมพรม ทำกระเป๋าใส่เศษสตางค์ให้แม่ เค้าเย็บเก่งกว่าพี่อีกค่ะ ^ ^"

    ตั้งแต่ป.1 เด็กๆจะต้องเรียนดนตรี เริ่มจากขลุ่ยไม้ แล้วก็มาเป็น recorder ตอนปลาย ป.3 ก็จะเริ่มเรียนเครื่องดนตรีคลาสสิค ซึ่งการเรียนแนวนี้เค้าจะให้เรียนเครื่องสายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก ลูกพี่เรียนเชลโล่ค่ะ บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ไม่เรียนเปียโนก่อน เค้าบอกว่าเครื่องสายจะทำให้เด็กเรียนรู้ว่าแต่ละเสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ละสายที่สี การกดสายแล้วเสียงเปลี่ยน คือเหมือนกับว่าเด็กจะรู้ที่มาที่ไปของเสียงอ่ะค่ะ ในขณะที่เปียโนเด็กจะไม่รู้ว่าเสียงเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วเครื่องสายเวลาสีมันจะสั่น ทำให้เกิดพลังที่ร่างกายเด็กจะรับรู้ในพลังนั้น แล้วไม่ใช่ว่าเราเลือกเครื่องดนตรีเองนะคะ คุณครูจะเป็นคนเลือกให้ เพราะเด็กจะได้เล่นไวโอลิน หรือเชลโล่ ขึ้นอยู่กับอุปนิสัย และรูปร่างของเด็ก อย่างลูกพี่ เป็นเด็กไม่นิ่งมาก ฝันเยอะ แล้วเป็นเด็กไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เค้าก็จะให้เล่นเชลโล่ เพื่อดึงให้เด็กนิ่งขึ้น เนื่องจากเชลโล่ เสียงจะทุ้ม แล้วเป็นเครื่องดนตรีที่จะต้องนั่งเ่ล่น รวมถึงการโอบกอดเชลโล่จะทำให้เด็กรู้สึกมั่นคงค่ะ

    ณ วันนี้รู้สึกได้เลยว่า ไม่ผิดหวังที่มาทางนี้จริงๆค่ะ ลูกมีความสุขมาก เราก็มีความสุขที่เห็นลูกมีความสุข ไม่มีอะไรปลื้มไปกว่านี้แล้วค่ะ

    ปล. น้องฝ้าย ถ้าเข้าอนุบาล คงไม่ต้องทดสอบอะไรมั๊งคะ น่าจะแค่คุยกับพ่อแม่ ให้มั่นใจว่าจะมาทางนี้จริงๆ พอดีลูกพี่เข้าป.1 ไม่ได้เรียนอนุบาลที่นี่ เค้าอาจจะอยากรู้ว่าเด็กเหมาะที่จะไปทางนี้หรือไม่อ่ะค่ะ แล้วคุณครูประจำชั้นเค้าคงอยากจะรู้จักเด็กอ่ะค่ะ ว่าจะไปด้วยกันได้หรือเปล่า


    จริงๆพี่ก็ยังไม่ได้รู้เรื่องแนวนี้ทั้งหมด ทุกวันนี้ก็ยังคงต้องเข้า study group ที่จัดขึ้นโดยคุณพ่อ คุณแม่ ในโรงเรียน ยังต้องอ่านหนังสือเยอะแยะ เพราะต้องทำความเข้าใจเด็กในแต่ละช่วงวัย ว่ามีความต้องการอย่างไร ด้วยค่ะ

Page 1 of 2 1 2 LastLast

Comments from Facebook

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •