เมื่อลูกไม่กินผัก ! ทำอย่างไร ให้ลูก "ชอบกินผัก" ?
การที่เด็กไม่กินผัก ก่อนหน้านี้ มีความเข้าใจว่ามาจากสาเหตุทางจิตใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การศึกษาปัญหานี้ในระยะหลังๆ กลับพบว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากเงื่อนไขของร่างกายเมื่อแรกเกิดของเด็ก ที่ต้องการโปรตีนและพลังงานมากสำหรับการเจริญเติบโต และด้วยขนาดกระเพาะเด็กที่ยังเล็กเก็บอาหารได้ไม่มาก ธรรมชาติร่างกายของเด็กเมื่อแรกเกิดจึงต้องเลือกทานแต่อาหารที่มีปริมาณโปรตีนและไขมันสูง ซึ่ง ผักเป็นอาหารที่ให้โปรตีนและพลังงานน้อย และยังย่อยยากต้องใช้พลังงานในการย่อยสูง จึงไม่เหมาะกับเงื่อนไขของร่างกายเด็ก เด็กจึงทานผักได้ยากด้วยเงื่อนไขทางร่างกายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้ว่าเมื่อโตขึ้น สาเหตุทางกายเหล่านี้จะค่อยๆหายไป แต่หากไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้ เด็กจะยังคงไม่ยอมกินผัก จะยังเลือกกินแต่อาหารที่ให้โปรตีนและพลังงานสูง เช่นเนื้อสัตว์ แป้ง และไขมัน
** โดยที่เราสามารถสังเกตได้ว่า เด็กฝรั่ง หรือ เด็กไทยในสมัยใหม่นี้ นิยมทาน "ขนมปัง หรือ ชีส" มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนเป็นที่มาของโรคอ้วนและโรคอื่นๆตามมา **
ลองดูเด็กๆที่บ้าน ลูกๆหลานๆที่ไม่ได้ถูกฝึกให้ทานผัก มักจะชอบทานขนมปังและชีส หรืออาหารที่มีไขมันสูง ยิ่งถ้าเด็กเหล่านี้โตขึ้นโดยไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน จะยิ่งกลับไปฝึกให้ทานผักได้ยากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อยังเล็ก
มีการทำวิจัยที่เมือง Tottori ประเทศญี่ปุ่น ตีพิมพ์เมื่อปี 1983 เป็นการศึกษาพฤติกรรมของเด็กที่ได้ทานคลอเรลล่าทุกวัน อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยังเป็นทารก อายุน้อยกว่า 1 ปี เทียบกับอีกกลุ่มที่ไม่ได้ทานคลอเรลล่า ใช้เวลาวิจัยต่อเนื่อง 5 ปี พบความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญว่าQuote:
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า เป็นหวัดยากกว่า เป็นโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารยากกว่า
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีขนาดตัวใหญ่กว่า
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า ** มีพัฒนาการที่ดีกว่า **
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีฟันน้ำนมที่มีสภาพสมบูรณ์กว่า อัตราการผุน้อยกว่า
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า " มีความอยากรับประทาน อาหารที่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่นผัก และ ผลไม้มากขึ้น เมื่อเทียบกับอีกกลุ่ม "
คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียวชนิดหนึ่งที่มีโปรตีนสูง ถึง 60% ของน้ำหนักตัว (มากกว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิด) มีกรดอะมิโนครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ และ การที่คลอเรลล่า มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับเซลล์มนุษย์ ทำให้ สารอาหารที่อยู่ในคลอเรลล่า เป็นสารขนาดเล็ก เซลล์นำไปใช้งานได้ทันที ไม่ต้องย่อย ร่างกายของเด็กจึงได้รับอาหารโปรตีนสูงโดยไม่ต้องเสียพลังงานในการย่อย ตรงตามเงื่อนไขร่างกายของเด็กตั้งแต่แรกเกิดQuote:
ข้อมูลจากงานวิจัย
Tokuyasu, M.: "Examples of diets for infants' and children's nutritional guidance, and their effect of adding chlorella and C.G.F. to food schedule", Tottori City, Japan: Conference proceddings at the nutritional Illness-Counselling Clinic 1983, see also: Jpn. J. Nutr. (1980) and 1983, 41(5), pages 275-283.
** เด็กจึงทาน คลอเรลล่า ได้ง่ายกว่า ทานผัก โดยเงื่อนไขของร่างกาย ** พ่อแม่จึงสามารถฝึกลูกให้ทานคลอเรลล่าได้ต่อเนื่อง ได้ง่ายกว่าฝึกให้ทานผัก ** โดยจะยิ่งเห็นผลชัดเจนหากเริ่มทานตั้งแต่เริ่มทานอาหารอื่นนอกเหนือจากนมแม่ (ช่วงอายุประมาณ 6 เดือน) **
คลอเรลล่า ยังเป็นพืชที่มีปริมาณคลอโรฟิลด์สูง เป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่ช่วยย่อยอาหารจำพวกผัก จึงช่วยเตรียมความพร้อมระบบย่อยอาหารของเด็ก ให้สามารถย่อยผักได้ง่ายขึ้น เมื่อทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เด็กไม่มีอาการท้องอืดหรือไม่สบายท้องเมื่อเริ่มฝึกทานผัก ที่ทำให้เด็กต้องรู้สึกฝืนและอาจกลายเป็นสาเหตุของการปฏิเสธการทานผักต่อไปได้
** คลอเรลล่า เป็นพืชที่มีปริมาณคลอโรฟิลด์สูง จึงมีรสชาติคล้ายผักใบเขียว การที่เด็กชอบทานคลอเรลล่า ทำให้เด็กมีความรู้สึกชอบอาหารที่มีรสชาติแบบผักใบเขียวเป็นทุนเดิม (ทีปกติเป็นรสที่เด็กไม่คุ้นเคยและอาจกลัว) เมื่อพ่อแม่เริ่มให้ฝึกกินผัก เด็กที่ทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง จะสามารถ "#ชอบกินผัก" ได้เอง #โดยไม่ต้องฝืน **
สำหรับเด็กที่เคยปฏิเสธการทานผักมาแล้ว หลังจากที่พ่อแม่สามารถฝึกลูกให้ทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่องได้แล้ว ให้ค่อยๆเริ่มสังเกตปฏิกริยาลูกที่มีต่อผักที่เริ่มเปลี่ยนไป และค่อยๆให้ลองทานตามความเหมาะสม ลูกจะสามารถค่อยๆทานผักได้มากขึ้น โดยไม่ต้องฝืน (ซึ่ง เด็กกลุ่มนี้ อาจใช้เวลาปรับตัวให้กลับมาทานผัก นานกว่ากลุ่มที่ยังไม่เคยปฏิเสธการทานผัก)
Quote:
https://www.youtube.com/watch?v=bIIKy4MAU2U
ในคลิป คือน้องเฟ เมื่ออายุ 7 เดือน (เริ่มทานคลอเรลล่าเอง ตั้งแต่อายุ 6 เดือน)
ผลที่ได้ เป็นไปตามงานวิจัยจริงๆ คลิปด้านล่างถ่ายตอนน้องเฟอายุ 1 ขวบ 9 เดือน เห็นผักเขียวๆที่ไหนจะบอก ผักๆๆเฟเอา และ ขอไปเคี้ยว ... ใหญ่เลย
https://www.youtube.com/watch?v=VK5mjB7rF3c
การฝึกนิสัย ชอบทานผักเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่เพียงแค่ช่วยเรื่อง #ขับถ่าย แต่ถือเป็น #อาหารหลักสำคัญ ที่ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย ไม่ให้เจ็บป่วย.ได้ดีที่สุด แต่เด็กยุคนี้..กลับทานแต่ไก่ทอด ของทอดๆ แป้งๆ แต่ไม่ชอบทานผัก ผู้ป่วยในโรงพยาบาลยุคนี้ จึงมีให้เห็นกันตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก
#รณรงค์ให้เด็กไทยชอบกินผัก
นอกจากเป็นแหล่งโปรตีน และ คลอโรฟิลด์ ที่ร่างกายไม่ต้องย่อยแล้ว คลอเรลล่า มีความสามารถตามธรรมชาติ ในการช่วยร่างกายป้องกันและขับพิษ ** โดยเฉพาะโลหะหนัก และ กัมมันตรังสี จากสิ่งแวดล้อม ที่เมื่อเข้ามาฝังอยู่ในร่างกายของเด็กแล้ว จะลดทอนพัฒนาการที่ควรจะเป็นของเด็ก โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด **Quote:
โปรตีน วิตามิน และ แร่ธาตุสำคัญ ทีพบในคลอเรลล่า
https://www.meejai.com/mjphoto.php?imgid=588940
https://www.meejai.com/mjphoto.php?imgid=589236
คลอเรลล่า ยังมีสารอาหาร "กรดนิวคลีอิก" ที่เป็นวัตถุดิบที่เซลล์ต้องใช้ในการ ซ่อม สร้าง DNA RNA ที่มากที่สุดในโลก ถึง 13% ต่อน้ำหนักตัว ช่วยให้เซลล์สามารถแบ่งตัวได้อย่างสมบูรณ์ ** ส่งผลให้การเจริญเติบโต ของอวัยวะ และ ระบบต่างๆของเด็ก เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ส่งผลดีต่อ ความแข็งแรงของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึง พัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็ก ที่มีการวิจัยพบว่า เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในกลุ่มที่ทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง **
ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ถูกค้นพบ ผ่านการวิจัยด้านโภชนาการของคลอเรลล่า ที่มีอย่างต่อเนื่องตลอด 50 ปี ทั้งจาก ญี่ปุ่น เยอรมัน สหรัฐอเมริกา โดยไม่พบข้อเสียแม้แต่น้อย ส่งผลให้คลอเรลล่า ได้รับการยอมรับ ว่าเป็น "Super Food ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก" เป็นอาหารจากธรรมชาติที่ทานได้ทุกวัน ต่อเนื่องได้ตลอดชีวิต ส่งผลดีตั้งแต่สุขภาพร่างกาย จนถึงพัฒนาการด้านต่างๆของเด็ก
Quote:
ข้อมูลอ้างอิงจาก
https://www.meejai.com/mjphoto.php?imgid=602488
หนังสือ Green Light for Health โดย นายแพทย์ Frank Liebke ชาวเยอรมัน
https://www.meejai.com/mjphoto.php?imgid=589194
หนังสือ Chlorella: Jewel of the Far East โดย นายแพทย์ Bernard Jensen ชาวอเมริกัน
https://www.meejai.com/mjphoto.php?imgid=602490
หนังสือ คลอเรลล่า: พืชธรรมชาติที่ทรงคุณค่าทางยา โดย นายแพทย์เดวิด สทีนบล๊อก ประธานสถาบันวิจัยเวชศาสตร์การชะลอวัยแห่ง อเมริกา แปลโดย ดร.กิดานันท์ มลิทอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2530
ทำไม การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นต้องเลือก "คลอเรลล่า ที่ปลอดภัย" เท่านั้นQuote:
https://www.meejai.com/mjphoto.php?imgid=602489
หนูน้อยคลอเรลล่า Hazel (Chlorella Baby Hazel) ที่เริ่มทานคลอเรลล่า ตั้งแต่เริ่มหย่านม ตามคำแนะนำของ ดร. Bob McCauley นักโภชนาการชื่อดัง ชาวอเมริกัน (รูปเมื่อปี 2012)
ข้อมูลอ้างอิงจาก
http://blog.watershed.net/2012/04/30...and-spirulina/
คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียว ที่มีความสามารถในการดักจับโลหะหนักสูง ดังนั้น คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนของโลหะหนัก ก็จะดักจับโลหะหนัก ในแหล่งน้ำนั้นๆ มาเก็บไว้ที่ตัวเอง
ดังนั้น เมื่อทานคลอเรลล่า ที่มีการปนเปื้อน โลหะหนัก ก็เท่ากับร่างกายได้รับพิษโลหะหนักเพิ่มจากคลอเรลล่า แทนที่คลอเรลล่าจะมาขับล้างพิษโลหะหนักในร่างกายออกไป
โดยหลักการนี้ การทานคลอเรลล่า ที่ไม่สามารถการันตี "ความปลอดภัย" ได้ จะยิ่งทำให้ร่างกายสะสมพิษมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะในสถานการณ์วิกฤติหรือไม่ ก็ตาม
การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเลือก คลอเรลล่า เป็นออร์แกนิกส์ 100% เพื่อการันตี ว่า จะไม่มีสิ่งพิษปนเปื้อนเข้ามาสู่ร่างกายเรา แทนที่จะมาช่วยร่างกายขับพิษ
โดยที่ คลอเรลล่า ที่ได้รับการการันตีว่า เป็น ออร์แกนิกส์ 100% นั้น ถือว่าเป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่สะอาด ปลอดภัย สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย และ สามารถทานต่อเนื่องได้ ตลอดชีวิต
( อ่านสาระสำคัญของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลที่ได้รับจากคลอเรลล่า ของผู้ทานที่เป็นแม่และเด็ก เพิ่มเติมได้ที่ https://sbntown.com/forum/threads/370480 )
** ระยะเวลาที่จะเห็นผล จะขึ้นกับ อายุ ฐานร่างกายของเด็ก รวมทั้ง อาหารมื้อปกติ ที่เลือกให้เด็กทาน โดยทั่วไป หากเริ่มเมื่อเด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบ ทานคลอเรลล่าต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 6 เดือน จะเริ่มสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน (ซึ่งถ้าเริ่มช้า จะใช้เวลานานขึ้น) **
-----------------------------------------------------Quote:
https://www.youtube.com/watch?v=3MJTcClivjA
ก่อนจบบทความนี้ ขอปิดท้ายด้วย วิถีชีวิตขอน้องเฟ #หนูน้อยคลอเรลล่า ที่นอกจากจะชอบกินผักแล้ว ยังมีชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับผักด้วยค่ะ
Title Photo credit: chadmiller on VisualHunt CC BY-SA