เราเก็บให้ลูกคนแรก แต่ยังลังเลสำหรับคนที่สองค่ะ เพราะมีหลายกระแสบอกว่าไม่ค่อย work ตามที่กล่าวอ้าง
ใครมีความรู้ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
Printable View
เราเก็บให้ลูกคนแรก แต่ยังลังเลสำหรับคนที่สองค่ะ เพราะมีหลายกระแสบอกว่าไม่ค่อย work ตามที่กล่าวอ้าง
ใครมีความรู้ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
เราเก็บให้ลูกทั้งสองคนเลยค่ะ เราเก็บกับคุณหมอจงเจตน์ ของThai stem life ค่ะ ก้อโอเคน่ะค่ะ เก็บเอาไว้เหมือนซื้อประกันให้ลูกอย่างนึงค่ะ ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไงเผื่อไว้ค่ะ (หวังว่าคงไม่ต้องเอาออกมาใช้ค่ะ)
เคยอ่านผ่านๆตาเหมือนกันว่าแต่ว่าเก็บไว้เพื่ออะไรเหรอค่ะ แอบเชยอีกแหล่ะ :p
เราว่าค่าใช้จ่ายแพง เด๋วนี้ ถ้าฝากท้องตาม โรงพยาบาลเอกชน จะมีบริษัท ติดต่อไปเลยค่ะ
และอธิบายข้อดีสารพัดให้ฟัง ตามความเห็นเรา เราว่าแพง แต่ข้อดี ก็เผื่อไว้ เหมือนซื้อความสบาย
ใจ แต่ตอนนี้ อยู่ในช่วงวิจัย เพราะไม่รู้จะใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน เพราะเพิ่งจะทำได้ไม่กี่ปีค่ะ
^
^
^
เหะเหะ ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ไปหามาแล้วค่ะ ตอนแรกสับสนกับเก็บ s---- นึกว่าทำเด็กหลอดแก้วอ่ะค่ะ
การเก็บเลือดจากสายสะดือและรก มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ
- เพื่อประโยชน์ของทารกเจ้าของเลือดจากสายสะดือและรกนั้น ในกรณีที่เด็กอาจเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในอนาคตและต้องการเปลี่ยนถ่าย เซลล์ฯ ซึ่งโอกาสที่เด็กจะป่วยเป็นโรคนี้มีน้อยมาก คือประมาณ 1 ใน 100,000 คนเท่านั้นเอง แต่ไม่สามารถนำมาใช้ในกรณีที่เด็กเป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด เพราะเด็กมีความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิดอยู่แล้ว
- เพื่อประโยชน์ของพี่น้อง ในกรณีที่พี่น้องของทารกนั้นเป็นโรคทางโลหิตวิทยาที่กล่าวมา และถ้าจะใช้ก็ต้องมี HLA ตรงกันด้วย ซึ่งมีโอกาสตรงกันเพียงร้อยละ 25 ดังนั้นโอกาสที่จะได้ใช้ในกรณีนี้ก็น้อยมากเช่นกัน
- เพื่อประโยชน์ต่อบุคคลอื่น โดยเก็บรวบรวมและตรวจ HLA เตรียม ไว้ก่อน ถ้าผู้ป่วยคนใดจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายเซลล์และหาเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจาก พี่น้องไม่ได้ ก็สามารถมาหาจากแหล่งที่มีการเก็บรวบรวมไว้ กรณีนี้จึงมีโอกาสได้ใช้มากที่สุด และหากมีการเก็บรวบรวมไว้มากเท่าไร โอกาสได้ใช้ก็มากชึ้นเท่านั้น การเก็บเพื่อวัตถุประสงค์นี้จึงมีประโยชน์ต่อสาธรณชนเป็นอย่างมาก
ส่วนบุคคลอื่นที่ไม่ใช่พี่น้องซึ่งเกิดจากพ่อแม่เดียวกัน จะมีโอกาสตรงกันแค่ 1 ใน 10,000 ถึง 1 ใน 50,000 รายเท่านั้น
source: http://hospital.moph.go.th
เก็บเหมือนกันคะ ก็รู้แต่ว่าถ้าเผื่อลูกเราเป็นโรค ประมาณ ลูคีเมีย เบาหวาน ไรเงี๊ยะ มันสามารถนำมาปลูกถ่าย เพื่อรักษาโรคได้เลย ไม่ต้องรอรับบริจาค ^__^
เราไม่ได้เก็บอ่ะ ปรึกษากับคุณหมอหลายท่าน ท่านบอกว่า stem cell ที่เมืองไทยเก็บได้ไม่ดีเท่าเมืองนอก อายุของ stem cell จะได้แค่ 5-7 ปี ส่วนหมอที่ทำคลอดเราบอกว่าไม่จำเป็น ถ้าครอบครัวไม่เคยมีประวัติเป็นโรคพวกนี้ก็ไม่น่าจะมีความเสี่ยง
ส่วนสายรกหมอทำคลอดเราบอกว่าเค้าจะรีดเอาอาหารในรกกลับเข้าไปให้ลูกก่อนจะตัดสายสะดือ เพราะส่วนสายสะดือมีแร่ธาตุและอาหารมาก เลยรีดลงไปให้ลูกก่อนตัดสายสะดือลูกค่ะ จะไม่เหลือให้บริษัท stem cell เก็บ หมอบอกว่าทะเลาะกับบริษัท stem cell ประจำ :D
สรุปหมอเราไม่สนับสนุน เลยอดเก็บอ่ะ
เดี๋ยวนี้ Stem cell สามารถสกัดได้จากฟันน้ำนมในเด็ก หรือแม้แต่ฟันคุดในผู้ใหญ่ค่ะ
ที่คลินิกวิลาก็รับเก็บค่ะ ใครมีลูกที่ฟันน้ำนมกำลังจะหลุด หรือตัวเองมีฟันคุดที่จะถอน/ผ่าสนใจก็มาเก็บได้
http://www.bangkokdentalhospital.com...stem_cell.html
ยังไม่มีลูกนะคะ มีแต่หลาน
พี่ชายเก็บให้หลานชายคนเล็กคะ ตอนหลานคลอด อ้อยืนรอหน้าห้องคลอดด้วย
ได้มีโอกาสเห็นเจ้า stem cell ที่ว่า เพราะเจ้าหน้าที่ขอบริษัทที่เก็บเข้าถือออกมา เราก็เลยได้เห็น
เท่าที่ทราบ พี่ชายติดต่อหมอตั้งแต่พี่สะใภ้ท้อง ค่าใช้จ่ายสำหรับการเก็บสูงพอสมควร แต่พี่ชายเขาเก็บให้ลูกเพื่อความสบายใจคะ
ยังรู้เสียดายไม่ได้ทำให้หลานคนโต (อายุหลานสองคนต่างกัน 7 ปีคะ) ตอนคนโตยังไม่ทราบเรื่องนี้
หลานที่บ้านก็เก็บ stem cell เหมื่อนกันครับ
พี่สาวบอกว่า มันจะมีเก็บระยะยาวคือตลอดชีวิตเด็กรู้สึกจะราคาราวๆ 3 แสน
กับเก็บจนถึงเ้ด็กอายุ 7 หรือ 15 ปี อันนี้ไม่แน่ใจ ราคาราวๆ 1 แสนครับ
เท่าที่จำได้ หมอบอกว่าในอนาคต Stem cell จะเป็นอะไรที่จำเป็นมากใช้รักษาโรคได้มากมาย
ถ้าไม่เดือดร้อนเก็บๆไว้ก็ดีนะครับ เราไม่รู้ในอนาคตว่า Stem cell มันจะจำเป็นแค่ไหน
กระเป๋าใบละเ็ป็นแสน เราซื้อกันได้
แต่ชีวิตลูกแลกกับเงิน แสนนี่ยังไงก็คุ้มครับ
ลูกเราก็เก็บอะ ของ Thai Stem Life แต่เราเลือกแบบต่ออายุปีต่อปี เพราะกล้วมีปัญหาในระยะยาวเหมือน
แต่ก็เก็บๆไว้ก่อนมันก็ไม่เสียหายอะไร เพื่อถึงคราวจำเป็นจะต้องใช้
ไม่เก็บค่ะ คุณสามีไม่แนะนำให้เก็บค่ะ
เพราะตอนนี้ยังอยู่ในขั้นวิจัย....ซึ่งเก็บมาไว้ก็ไม่รู้จะมีประโยชน์ในอนาคตหรือเปล่า
อีกอย่าหนึ่งราคาแพงมากค่ะ ดังนั้นเลยนำเงินไปทำประกันชีวิตให้ลูกดีกว่าค่ะ ถือว่าเป็นการลงทุนที่น่าคุ้มค่ากว่าค่ะ
ปล.แต่ถ้าเราไม่เดือดร้อนเรื่องใช้จ่าย ถ้าจะเก็บไว้เพื่อความสบายใจก็โอเคนะค่ะ แต่ถ้าครอบครัวไม่มีประวัติโรคทางพันธุกรรม คิดว่าไม่จำเป็นต้องเก็บนะค่ะ ^___^
Stem Cell ที่ทุกวันนี้เป็นมาตรฐานในการรักษาโรคเลือด และ ไขกระดูก ไม่ว่าจะในเด็กหรือผู้ใหญ่ คือ Stem Cell จากรกและสายสะดือ/จากไขกระดูก/จากกระแสโลหิต เท่านั้น Stem Cell ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจากไขมันหรือฟันน้ำนมก็ตาม จะได้ในปริมาณที่น้อยมาก และจำเป็นต้องเพาะเพื่อที่จะขยายจำนวน ในกระบวนการนั้นต้องใช้ Serum (น้ำเหลืองจากวัว)
1. ซึ่งมีความเสี่ยงในการเกิดโรควัวบ้าในอนาคต และโรควัวบ้านั้นมีการฟักตัวเป็นเวลาหลายสิบปีกว่าจะมีอาการได้ และไม่สามารถวินิจัยก่อนอาการนั้นจะปรากฏตัว เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าจะเป็นหรือไม่เป็น
2. จำนวน Stem Cell ที่จะได้หลังจากการเพาะมันไม่แน่นอนว่าจะถึงปริมาณที่จะนำไปรักษาโรคได้
3. ถ้าเกิดต้องฉีด Stem Cell ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงใน Serum วัว จะทำให้เกิดอาการแพ้ต่อโปรตีนวัว ซึ่งไม่มีอยู่ในเลือดของคนเราทั้วไป การต่อต้านนั้นอาจจะถึงชิวิตของผู้รับได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปสนใจกับสิ่งที่ไม่เป็นมาตรฐานในการรักษา
http://www.bangkokpost.com/business/...king-on-health