ก็..พี่ เ ป็ น พี่ ข อ ง ผ ม นี่ ค รั บ!!!
	
	
		ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน 
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ 
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี 
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน 
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง 
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน " ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด 
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน 
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า " ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ" 
พ ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า 
" ผมขโมยเองครับ" 
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด 
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ 
และด่าว่าน้องชายของฉัน " ของคนในบ้านแกเอง แกยังข! โมยได้ต่อไปแ กจะทำชั่วอะไรอีก 
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย" 
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด 
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก 
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า 
" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว" 
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ 
หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง 
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย 
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี... 
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น  เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน 
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย 
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน 
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า 
" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ" 
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า 
" แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเร! าก็ไม่ค่อยมีเงิน" 
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า 
" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" 
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ 
" ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้" 
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน 
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า 
" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้" 
แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ 
ใครจะรู้ได้ ....... 
วันต่อมาในตอนเช้ามืด น ้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น 
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน 
ขณะฉันกำลังหลับ 
" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิท ยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่" 
ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... 
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี ..... 
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้อ! งชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น 
กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ ....... 
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3 
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า 
" มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ" 
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ  ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ 
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง .. 
ฉันถามเขาว่า 
" ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ" 
น้องช ายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า 
" ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเร าะเยาะพี่กันพอดี" 
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ 
" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม" 
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง 
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า 
" ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง" 
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด 
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ! 
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี . 
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก 
ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว 
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก 
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า 
" แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ" 
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า 
" แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก 
วันนี้เค้าขอเลิกงา นเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน 
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ 
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"! 
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา 
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ 
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด " เจ็บมากไหม" 
ฉันถาม 
" ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด 
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..." 
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด 
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง 
" เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ" 
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี... 
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง 
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน... 
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ 
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง 
แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี 
จึงได้ย้า ยกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม 
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ... 
เขาบอกกับฉันว่า 
" พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง" 
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว 
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท 
... 
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ 
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา 
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล 
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล 
ฉันและสาม! ีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันข าหักต้องเข้าเฝือกที่ขา 
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า 
" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! 
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ 
ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง" 
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา 
" พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน 
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ 
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด" 
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ..... 
ฉันบอกกับน้องว่า 
" แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพร! าะพี่..." 
" ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" 
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ 
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ  26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี... 
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี 
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน 
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า 
" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้" 
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล " พี่สาวของผมครับ" ..... 
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ 
" ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง 
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม. 
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน 
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง 
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง 
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง เดียวเดินเป็นระยะทางไกล 
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว 
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ....... นับจากวันนั้น 
ผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมใ! ห้ดี 
และจะทำดีกับเธอ" 
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน 
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ....... 
" ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ" 
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง... 
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา 
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ 
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง 
.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน 
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม 
จบบริบูรณ์....
ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัท! ฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท 
ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า " ซัมซุง" 
และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ