เฮ้อ เฮ้อ
Printable View
ต้องทำใจเนอะคิดแง่ดีไว้ว่าไม่ไปเที่ยวก็ไม่เสียตังประหยัดไปตั๋วrefundได้เต็มแต่อาจช้าหน่อยโทรถามบ.ขายตั๋วเค้าว่าธุรกิจเค้าก็เสียหายแต่ไม่เป็นไรขอกู้ชาติก่อน
เมื่อคืนนอนไม่หลับเลยคิดวนเวียนไปมาว่าไม่น่าเชื่อว่าจะแตกแยกได้ถึงขนาดนี้ไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย จะยืดเยื้อไปถึงไหนก็ไม่รู้วันที่ 8จะมีไปHKก็ไม่รู้อดอีกหรือเปล่ากลางเดือนลูกจะได้กลับมากอดกันหรือเปล่า โอ๊ยย ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มปวดหัวไมเกรนขึ้นอีก ต้นเหตุจริงๆมาจากคนๆเดียวแหละที่ไม่ยอมเลิกลืมที่ตัวเองเคยพูดไว้ ผมเลิกแล้ว จะไม่ยุ่งแล้วครับบบ แล้วเป็นไงละก้มลงไปเลียน้ำลายตัวเองแผลบๆ
คนไทยด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครคิดจะหยุดแล้วหันมามองประเทศกันเลยเหรอ
เฮ้อออออออ!!!!!!!
นี่จาต้องรอจนลูกคลอดเลยมั๊ยเนี๊ยะถึงจะกลับเมืองไทยได้ กรรม!!!!!
ขอบคุณคะ สำหรับความหวังดี
คิดว่า บางที ก็ควรจะทำอะไรไห้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยคะ ถึงจะเป็นพันธมิตร แต่ก็เบื่อคะ เบื่อมากๆๆๆ แต่จะทำไงได้ละคะ
ก็ในเมื่อรัฐบาล ไม่ทำอะไรเลยยยย
น้ำท่วม ก็ไม่เคยดู ชาวนาตายเพราะ สนธิสัญญา fta ก็ไม่สน
จะแก้อย่างเดียวรัฐธรรมนูญ และก็จะเอางบประมาณผ่านรัฐ สภา จะสร้างโน้น สร้างนี้สร้างหาอะไรของเก่ายังไม่พังเลยไอ้เมกกะโปรเจคเนี้ย ปีหน้าเศรฐกิจจะพังอยู่แล้ว เลิกสร้างสักที เอาเงินที่จะสร้าง มาช่วยคนที่ตกงานไม่ดีกว่ารึไงคะ
หรือทำไมไม่เอางบประมานมาพัฒนาอย่างอื่นที่มันสร้างสรรช่วยพัฒนาโครงการของในหลวงหรือโครงการในพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียงก็ยังดีกว่า ช่วยไห้คนไทยมีความรู้สิคะ
นี่ต้องกู้เงินมาจากญี่ปุ่นกี่แสนล้าน แล้วก็เป็นหนี้ เขา อีก
จะรอไห้ เป็นหนี้แล้วเขามายึดประเทศ ถึงจะลืมตาได้เหรอคะ
พอดี ได้แฟนเป็นญี่ปุ่น แน่ๆๆ ชาตินี้ ประเทศไทย ไม่มีปัญญาใช้หนี้เขา เนี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เซ็งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
โชคดี รอดไป คุณฝาชี เพิ่งกลับมาก่อน2วัน
ถ้าช้า เราอดได้ของฝาก(แอบงก)
ไม่รู้ไงกัน ฝั่งโน้นเค้ามีจุดยืนมันก็ดี แต่ทำประชาชนที่เค้าไม่เกี่ยวเดือดร้อนมัยก็แย่อะ
โอ๊ยเซ็งเหมือนกัน เบื่อดูข่าวแล้ว ดูซี่รี่ย์เกาหลีดีกว่า
ขอยกพระบรมราโชวาทของในหลวงในงานพิธีเปิดงานชุมุนมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๖ ณ ค่ายวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๒ ที่ว่า
“ในบ้างเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
“คนดีย่อมรู้ตนว่าเป็นคนดี และทำแต่สิ่งที่ดี
คนไม่ดีย่อมไม่ยอมรับคำกล่าวหาว่าตนไม่ดีและคิดว่าตนเป็นคนดี
คนเป็นกลางคือคนที่คิดว่าตนเป็นคนดี แต่อาจทำดีหรือทำชั่วก็ได้ตามแต่ทิศทางลม”
คนไม่ดีนั้น เห็นผิดเป็นชอบ ด้วยอำนาจของ โมหะ
คนเป็นกลางนั้น เห็นชอบเป็นชอบ เห็นผิดเป็นผิด มีปัญญาเห็นชอบ ดำริชอบ แต่ปฏิบัติไม่ชอบ เพราะหลงในอำนาจของ โลภะ และ โทสะ
สรุปได้ว่า คนเป็นกลางนั้น ไม่ได้โง่ด้วยไร้ปัญญา แต่โง่หนักกว่านั้นคือ รู้ดีรู้ชั่ว แต่เลือกจะละเว้นทำดีและหมั่นทำชั่ว
“คนเป็นกลาง” ในสังคมมีลักษณะและแนวความคิดดังนี้
๑. “คิดได้ แต่กลัวตาย” คนกลุ่มนี้ คิดได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี การจะไปเข้าฝั่งฝ่ายดี ก็กลัวคนชั่วจะมาทำร้าย หรือเป็นห่วงว่าธุรกิจจะเสีย เพื่อรอดูจังหวะ ก็เลยอยู่นิ่งๆก่อน ให้คนอื่นไปสู้แทน ฝ่ายไหนชนะก็เข้าฝ่ายนั้น
๒. “ยังคิดไม่ออก” คนกลุ่มนี้ยังมึนอยู่ ว่าฝ่ายไหนดี ฝ่ายไหนไม่ดี บางคนรับข้อมูลน้อยมาก บางคนรับข้อมูลเยอะมาก แต่ก็ยังขาดปัญญาในการตริตรอง
๓. “ไม่คิด แต่เดือดร้อน” คนกลุ่มนี้มีมากในกรุงเทพฯ มักเป็นกลุ่มคนที่คิดว่าตัวเองมีการศึกษา ทำงานในบริษัทดีๆ เงินเดือนสูง แล้วพาลคิดไปเองว่า ตัวเองปราดเปรื่อง แต่ลืมไปว่า ตัวเองปราดเปรื่องแค่เรื่องทำมาหาเลี้ยงชีพ แค่มีช่องทาง มีโอกาสมากกว่าคนด้อยโอกาส ชีวิตในแต่ละวันคือทำงาน หาเงิน เอาเงินปรนเปรอกิเลสของตน เมื่อมีการชุมนุมประท้วงก่อให้เกิดรถติด ก็เลือกข้างทันที โดยไม่เลือกฝ่ายประท้วงโดยให้เหตุผลว่า “ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน” แต่แท้จริงแล้ว “ตัวเองเดือดร้อน” ต่างหาก เพราะรถติด ไปทำงานลำบาก ไปทำงานสาย โดนเจ้านายดุด่า เมื่อเกิดความเครียด ก็ต้องพาลหาคนผิด ยังไงตัวเองก็ไม่ผิด เพราะตัวเองเป็น ดวงอาทิตย์ ต้องหาดาวเคราะห์อื่นๆที่เป็นบริวารมารับเคราะห์แทน คนกลุ่มนี้ก็เรียกว่าตัวเองเป็นกลาง แต่ก็อาจแอบคิดว่า ถ้าอีกฝ่ายจัดการพวกประท้วงได้ ก็ดี รถจะได้เลิกติด บ้านเมืองกลับมาสงบสุข แต่คำว่า สงบสุข ของคนกลุ่มนี้คือ การปรนเปรอกิเลสของตน
๔. “อยากให้ปรองดองกันจริงๆ” คนกลุ่มนี้น่ายกย่องในความคิด และส่วนมากจะเป็นนักวิชาการที่ชอบสวนกระแส อ้างการปรองดอง อ้างความสามัคคี แต่ด้วย “ปัญญา” ที่มีมากเกินไปจนเกิดการ “พลิกกลับ” เค้าจะต้องคิดให้จงหนักตามตัวอย่างนี้ว่า “คนดี” กับ “คนชั่ว” สามารถปรองดองกันได้มั๊ย ถ้าสามารถปรองดองกันได้ ก็จะมีสามแนวทาง
๔.๑ จับมือกันเป็นคนดี - คนดีย่อมสามารถยอมรับคนชั่วกลับใจได้ แต่สิ่งที่ยากคือ คนชั่วจะกลับใจได้มั๊ย
๔.๒ จับมือกันเป็นคนชั่ว – ความชั่วมีอำนาจมหาศาล เมื่อลุแก่อำนาจแล้วย่อมต้องการกำจัดคนดี คนดีจะเปลี่ยนใจกลายเป็นคนชั่วมั๊ย เพื่อให้ตนเองอยู่ร่วมกับคนชั่วได้ ผมว่าคนดีคงหนีเข้าป่า หรือฆ่าตัวตาย ซะมากกว่า
๔.๓ ชั่วครึ่งดีครึ่งเสมอภาคกัน – แนวคิดนี้มันบ้าชัดๆ อ้างอิงจาก ๒ ข้อข้างบน คนดีไม่อยากจะลดความดีลงมา คนชั่วจะกลับใจได้ยากนัก แต่มันจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ กับการเป็น “คนชั่วดีอย่างละครึ่ง” ทำได้ยังไง
ก่อนหน้าที่ผมจะเขียนบทความนี้ ก็ได้เห็นข่าวว่า แนวทางการสมานฉันท์แห่งชาติ ข้อหนึ่งจะมีการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง โดยเฉพาะสองคน คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และ นายสมัคร สุนทรเวช
ทั้งสองคนนี้ต้องคดีทุจริตทั้งคู่
การสมานฉันท์ การปรองดอง ตามข่าวนี้ พูดภาษาชาวบ้านก็คือ “ยกโทษให้คนผิดเถอะ” แล้วทุกอย่างก็แล้วกันไป
นี่มันมีความหมายว่าอย่างไร “ถ้าไม่ยกโทษให้คนผิด บ้านเมืองจะไม่สงบนะ”
ชักจะแปลกๆ หรือมันจะหมายความว่า “ที่มันปั่นป่วนทุกวันนี้ก็ฝีมือของคนผิดนั่นแหละ ถ้าเลิกเอาความก็จะหยุดฆ่าคน”
จะเห็นว่า “คนผิด” ดันมีอำนาจต่อรองสูงสุดกู่ คดีที่ต้องอยู่ก็ผิด ฆ่าคนก็ผิด แต่จะให้ยกโทษให้
แล้ว “คนถูก” จะได้อะไรบ้าง
ความต้องการของคนผิด คือ ไม่อยากรับโทษ
ความต้องการของคนถูก คือ เอาคนผิดมาลงโทษ
การสมานฉันท์คือ การให้คนผิดได้ตามที่ต้องการ และการทำลายสิ้นซึ่งความต้องการของคนถูก
... แนวทางนี้มันยุติธรรมแล้วหรือ ...
เฮ้อ....เดือดร้อนกันไปหมด
อีกกี่ปีกี่ชาติ จะกู้ชื่อเสียงประเทศชาติคืนได้