ส่งแรงใจไปช่วยทุกๆวันนะคะ พี่น้ำ
Printable View
ส่งแรงใจไปช่วยทุกๆวันนะคะ พี่น้ำ
ขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกคนนะคะ ที่ช่วยส่งกำลังใจมาให้ครอบครัวเรา
อยากจะให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ สำหรับคุณแม่ทุกๆนะคะ
บางครั้งคุณหมอก็ผิดพลาดได้ นี่ถ้าพี่น้ำไม่หาข้อมูลเพิ่มเติมเอง
ป่านนี้คงจะสายไปสำหรับนาตาลี ถ้าวันนั้นไม่พาลูกกลับไปหาหมออีก
ป่านนี้ก็คงกลับไปอเมริกา โดยที่ไม่รู้เลยว่าน้องป่วยหนัก
และก็คงจะสายเกินไปสำหรับนาตาลี
โรคท่อน้ำดีอุดตันในทารก ถือว่าเป็นโรคที่น่ากลัวที่สุดสำหรับ
เด็กแรกเกิดนะ การผ่าตัดจะได้ผลดีก้อต่อเมื่อเด็กอายุไม่เกิน 3 เดือน
ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะน้ำดีที่ค้างอยู่ในตับ จะไปทำลายเนื้อตับของน้อง
ถ้าทิ้งไว้เกิน 4 เดือน โอกาสรอดคือการเปลี่ยนตับเท่านั้น
สำหรับนาตาลี พี่น้ำถามคุณหมอมาตลอดตั้งแต่ครบ 1 เดือนว่าทำมัย
น้องยังตัวเหลือง คุณหมอได้แต่บอกว่า ให้เอาไปโดนแดดบ้าง เจอกี่ที
ก็ว่าไม่เป็นไร ตอนน้องเกือบๆสองเดือน น้องไอ มีน้ำมูก
คุณหมอท่านนี้ก็ให้นอนโรงพยาบาล อยูุ่6 วัน
เราก็ถามนะคะว่าน้องทำมัยตัวเหลือง หมอก็ตอบเหมือนเดิมว่า
ไม่เป็นไร หลังจากออกจากโรงพยาบาล นึ่งอาทิตย์ กลับมาตรวจใหม่หลังยาหมด
เราก็ยังถามอยู่นะคะ ว่าทำไมน้องยังเหลืองอยู่
คุณหมอกลับมาถามว่าแม่กินวิตตามินบำรุงบ้างไหม กลายเป็นว่า
น้ำนมเราไม่มีคุณภาพ แทนที่จะไปโฟกัสว่าทำมัยลูกเราตัวเหลือง
แล้วคุณหมอก็บอกอีกว่า " ต้องกิน fish oil ด้วย
ตัวที่ดีที่สุดของแอมเวย์ ถ้าจะเอาบอกหมอนะ" ฟังแล้วอึ้งคะ
หลังจากนั้น ไม่กี่วันก็เอาลูกกลับไปหาหมออีกด้วยความไม่สบายใจ
คิดว่าต้องไม่ปรกติ ปรากฎว่าคุณหมอท่านเดิม ก็ถามว่าวันนี้เป็นอะไร
เราก็บอกว่า น้องตัวเหลืองไม่หายเลย สองเดือนกว่าแล้ว
คุณหมอมองดูลูกเราในรถเข็น ไม่แม้แต่จะจับ แต่กลับบอกว่า
เอาหาหมอปิยะโน้น เค๊าเชี่ยวชาญเรื่องนี้
แล้วก็เดินออกจากห้องไปเลย
ถ้าหมอให้เราไปหาหมอปิยะซะตั้งแต่น้องยังไม่สองเดือน
ตับของนาตาลีคงไม่เสียหายแบบนี้
ตอนหลังมาทราบว่าหมอท่านนี้ท่านขายแอมเวย์ ขายประกัน
ท่านคงห่วงแต่ยอดขายของท่าน โดยลืมไปว่าชีวิตเล็กๆหนึ่งชีวิต
นั้นสำคัญขนาดไหน
นี่ถ้าเป็นตาสีตาสาที่เชื่อแต่หมอลูกคงแย่กว่านี้คะ
ยังดีที่ยังเอะใจว่าลูกต้องเป็นอะไรสักอย่าง เริ่มหาข้อมูล
ทางอินเตอร์เนท แต่ไม่คิดว่าจะเป็นอะไรมากแบบนี้
ถ้าน้องไม่ได้รับการผ่าตัด หรือปล่อยทิ้งไว้ น้องก็คงมีชีวิตอยู่ได้แค่
2 ปี นี่คือความไม่ใส่ใจของหมอ ไม่ทราบเหมือนกันนะคะว่า
โรงพยาบาลเค๊าอนุญาตให้หมอขายสินค้าขายประกันกับคนไข้ได้ด้วย
บอกตรงๆหมอศัทธาในตัวคุณหมอท่านนั้นไปเลยคะ
ชีวิตลูกเราทั้งคน
ฟังเรื่อง ของคุณหมอท่านนี้ แล้วเศร้าใจจัง ไม่มีความรับผิดชอบ เลยนอกจาก ยอดขายของตัวเอง แล้วนี่จะไม่ไปทำแบบเดียวกันนี้กับคนไข้คนอื่นอีกหรือ.....
โชคดีที่ เอะใจแล้ว รักษาได้ทัน หมดทุกข์ หมดโศกแล้วละค่ะ น้องน้ำ
ส่วนที่เหลือตอนนี้ คงต้องรักษาดูแลอย่างใกล้ชิด ให้ทุกอย่างฟื้นตัวขึ้นเร็วๆ ทั้งน้องน้ำ และแฟนก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย จะเอาใจช่วยตลอดค่ะ.....
พี่ป้อมคะ น้ำก็คิดเหมือนพี่ป้อมแหละคะ ว่าเค๊าจะทำแบบนี้กับลูกคนอื่นอีกมั๊ย
คุณคริสจะเขียนจดหมายถึง ผ อ โรงพยาบาลและแพทยสภา
คุณคริสบอกว่าเค๊าไม่อยากเห็นเด็กคนอื่นต้องเจอแบบลูกเรา
น้ำเห็นด้วยคะ เราไม่เรียกร้องอะไร เพียงแต่ขอให้คุณหมอใส่ใจคนไข้
มากกว่านี้
ซึ่งถ้าเป็นที่อเมริกา คุณหมอท่านนี้คงโดนฟ้อง หมดอาชีพต้องไป
ขายแอมเวย์จริงๆละคะ เสียแรงไว้ใจหมอนะคะ เสียความรู้สึกด้วย
จริงๆแล้วคุณหมอท่านนี้ ท่านดูแลลูกชายคนโตน้ำมาตั้งแต่เกิด
เราถึงเชื่อใจ ไม่คิดเลยคะ ว่าความไว้วางใจ เชื่อใจในตัวคุณหมอ
ท่านนี้เกือบทำให้ต้องเสียลูกไปคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะพี่ป้อม กำลังใจจากพี่ๆทำให้ครอบครัวเรา
โดยเฉพาะนาตาลี ผ่านพ้นสิ่งร้ายๆไปได้คะ น้องต้องดีวันดีคืนคะ น้ำเชื่อคะพี่ป้อม โชคร้ายคงไม่เกิดกับเราตลอดไปหรอกคะ
เข้ามาอ่านเรื่องของหนูนาตาลีแล้ว อึ้ง ปนเศร้าใจไปกับคุณธรรม มโนธรรมของหมอสมัยนี้ ค่านิยมผิด ๆ ทำให้การกระทำ การวินิจฉัยโรค การรักษาโรคของหมอหลาย ๆ ท่าน พรากชีวิตของคนไข้ไปจากครอบครัวของเขาได้ พี่ก็ประสบกับคุณหมอแบบนี้เหมือนกันค่ะ คุณแม่สามีพี่ปกติท่านจะแข็งแรง ไปไหนมาไหนได้เอง เข้าพรรษาก็จะไปจำศีลที่วัดประจำ เมื่อต้นปี 2551 มีอาการเหนื่อย ๆ ลูกหลานก็พาไปโรงพยายาล คุณหมอก็ตรวจร่างกายก็บอกว่าอ่อนเพลียเฉย ๆ จึงให้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ ช่วงนั้นลูก ๆ ก็บอกว่าไหน ๆ ก็นอนโรงพยาบาลแล้วเช็คสุขภาพเลยนะ คุณหมอก็เจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจปอด เพื่อหาสิ่งผิดปกติ ผลออกมาว่าทุกอย่างดี แต่มีค่าของเลือดผิดปกตินิดหน่อย ให้รอค่าผลเลือดอีกตัว ระหว่างรอผล คุณหมอก็ให้ทานไข่ขาวเยอะ ๆ แทบจะทุกมื้ออาหาร พอดีค่าของเลือดตัวนี้ต้องส่งโรงพยาบาลศรีนครินทร์ที่ขอนแก่น (คุณย่าท่านอยู่จังหวัดอุดรธานี) ซึ่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดอุดรธานียังไม่มีเครื่องมือตรวจ ช่วงระหว่างรอนี้คุณหมอเจ้าของไข้ก็มาบอกว่าให้กลับไปรอที่บ้านดีไหมเพราะอำนาจของหมอเซ็นต์ให้คนไข้อยู่ห้องพิเศษได้ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ในกรณีที่คนไข้ไม่เป็นอะไรมาก ถ้าไม่อย่างนั้นต้องไปนอนรอที่ห้องรวม คุณย่าก็เลยตัดสินใจออกมารอที่บ้าน แต่ก่อนออกมาท่านมีอาการคัน มีผื่นแดงตามตัว คุณหมอโรคผิวหนังก็มาตรวจ และสั่งยาตัวหนึ่ง(ยากดภูมิ)มาให้ซึ่งมารู้ในภายหลังว่ายาตัวนี้ถ้าให้คนไข้อายุมาก ๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด หลังจากมานอนรอที่บ้านสามวันท่านมีไข้สูง เหนื่อยหอบ ลูก ๆ ก็รีบส่งโรงพยาบาลอีก คุณหมอที่รับไข้รีบตรวจปอด ปรากฎว่าปอดติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน เกินกว่าที่หมอจะรักษาท่านก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา และคุณหมอคนสุดท้ายก็วิเคราะห์โรคว่ายาตัวสุดท้ายที่ท่านทานไป ไปทำลายภูมิคุ้มกัน พอทราบกันถึงสาเหตุนี้แล้วแทบจะกรี้ดกันเลย อยากจะฟ้องคุณหมอท่านนั้น แต่ด้วยความที่คุณย่าท่านเป็นคนธรรมมะธรรมโม ลูก ๆ ก็ปรึกษากันว่าแค่เพียงต่อว่าก็พอ เพื่อคุณย่าท่านจะไปอย่างสงบไม่ต้องไปติดค้างกรรมเวรให้ใครอีก เฮ้อ อโหสิกรรม เจ้ากรรมนายเวรเน้อ คุณน้ำ และครอบครัวยังโชคดี ที่คุณแม่น้ำเอาใจใส่ต่อการพัฒนาการของหนูนาตาลีเลยเจอโรคก่อนที่จะสายไป สู้ สู้ ต่อไปนะคะ
มันเป็นเรื่องน่าเศร้าของบรรดาคนไข้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากหมอคะพี่แหวว ถ้าหมอให้ความสำคัญกับคนไข้มากกว่านี้เรื่องเศร้าก็คงไม่เกิดคะ
น้ำเสียใจกับพี่แหววเรื่องคุณย่าด้วยนะคะ
อ่านที่พี่น้ำโพสแล้วอึ้งมากๆๆๆเลยค่ะ
ถ้าคุณหมอเค้าจะทำแบบนี้ ไม่ต้องเรียนหมอก็ได้มั้ง
จรรยาบรรณหายไปไหนหมด โกรธแทนมากๆเลยค่ะ
เสียใจกับการจากไปของคุณย่าพี่แหววด้วยนะคะ
เป็นอุทาหรณ์สำหรับการเป็นมนุษย์ที่ต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มากๆเลยค่ะ
ถ้าช่วงเจ็บต้องเจอกับหมอแบบนี้......ไม่ไหวจริงๆค่ะ
เฮ้อ....ยิ่งอ่านเรื่องของคุณย่าพี่แหวว + น้องนาตาลี แล้วรู้สึกว่า เดี๋ยวนี้ จะฝากผี ฝากไข้ กับหมอไม่ได้เลย (แล้วจะไปฝากชีวิตกับใครดีล่ะ)
เพราะถ้าคนไข้ หรือ แม้กระทั่งคนปกติทุกคน สามารถวินิจฉัยโรคเองได้ จ่ายยาเองได้ ก็คงไม่ต้องไปพึ่งหมอกันแล้วล่ะค่ะ
จริงๆคนที่คิดจะเป็นหมอแล้ว ต้องมีความเสียสละอย่างมากถึงมากที่สุดเลยนะคะ เพราะตั้งใจอุตส่าห์ร่ำเรียนมาก็เพื่อจุดประสงค์และเป้าหมายหลักของอาชีพเค้า คือ ให้การรักษา แต่ทำไมหมอหลายๆคน พอถึงเวลาทำงานจริงๆกับไม่เอาใจใส่ หรือ ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่คนไข้และญาติคนไข้ทุกคนเค้าไว้วางใจฝากชีวิตไว้กับเรา (ทั้งๆที่ค่าตอบแทนที่ได้รับ ก็มากกว่า คนที่ทำอาชีพอื่นๆ หลายเท่า)
ของมลก็มีเคสเกี่ยวกับหมอเหมือนกัน แต่เป็นเคสของพนักงานที่ร้านที่ใช้ประกันสังคมค่ะ พนักงานคนนี้ป่วยตลอด มาทำงานวัน หยุด 2 วัน ไปหาหมอ หมอก็ถามอาการ แล้วก็จ่ายยาตามอาการที่เราบอก ไม่มีแม้แต่กระทั่งจะตรวจ ฟัง ส่อง หรือ คลำ อะไรเลย แถมระหว่างตรวจ มีโทร.เข้ามา คุณหมอก็รับโทร.แล้วก็บอกคนไข้ว่ารอแป๊บนะ แล้วก็เดินออกไปคุยโทร.นอกห้อง ฟังแล้วจี๊ดมาก
ถัดมาอีกอาทิตย์นึง พนง.ป่วยหนัก มาทำงานไม่ได้เลย เพราะลุกขึ้นเดินไม่ไหว เนื่องจากบ้านหมุน พอจะลุกเดิน ก็รู้สึกเหมือนจะล้ม เซ เค้าโทรมาลางาน มลเลยบอกให้เค้า นัดหมอเฉพาะทางด้านประสาท แล้วตรวจแบบไม่ต้องใช้ประกันสังคม จะได้รู้ว่าเป็นไรกันแน่ เพื่อที่จะได้รักษาถูกทาง สุดท้ายหมอตรวจแล้วพบว่า เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้เกิดอาการ บ้านหมุน อาเจียน เสียการทรงตัว ตอนนี้ก็ดีขึ้น กลับมาทำงานได้ตามปกติแล้วค่ะ
เจอแบบนี้ ก็เซ็งเหมือนกันเนอะ
ปล. พี่น้ำ มาเขียนเล่าให้ฟังได้แล้ว แสดงว่าไม่ค่อยเครียดแล้วเนอะ แต่ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยเน้อ น้องคงดีขึ้นตามลำดับเรื่อยๆนะคะ
ดีขึ้นบ้างแล้วจ๊ะมล แต่ก็ยังกังวลอยู่ดีแหละ
ตอนนี้มีเรื่องปรี๊ดเรื่องใหม่อีกแล้ว บริษัทประกันจะไม่ยอมจ่าย ทางห้วหน้าหน่วยหาว่าตัวแทนกับพี่ปกปิด
อาการน้อง ไม่ยอมแจ้ง บอกได้คำเดียวว่า เวร เค๊าคิดว่าโรคนี้พอรู้ปั๊ปมันรอได้มั้ง หาว่าเรารู้ว่าน้องเป็นไรแล้วไม่ยอมแจ้ง ประมาณว่าหวังประกัน พี่นะทุเรศจริงๆ จะไม่ทำแล้วด้วยซ้ำ พอดีเพื่อนเป็นตัวแทนแล้วก็บอกเค๊าว่าจะช่วยทำ เริ่มโมโหอีกแล้ว อิ อิ ไว้จะมาเล่าเรื่องประกันให้ฟังนะคะ