" อานันท์ ปันยารชุน สอนมวยนักข่าวฝรั่งเรื่องในหลวงของเรา "
	
	
		http://image.ohozaa.com/io/__fwdder_...3q86286350.jpg
ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ครับ ขอนำรูปมาลงใหม่ เนื่องจากที่มีอยู่เดิมหายไป เพื่อให้กระทู้นี้ สามารถโชว์รูปที่หน้าเวบได้ ครับ
ขอบคุณภาพจากลิงก์ http://image.ohozaa.com/io/__fwdder_...3q86286350.jpg ครับ 
หากรูปที่เรานำมาไม่เหมาะสม ขอชวนเจ้าของกระทู้เข้ามาแก้ไขได้ครับ
ท่านอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย ที่สอนมวยนักข่าวฝรั่งเรื่องในหลวงของเรา อย่างตรงไปตรงมาดุเด็ดเผ็ดมัน ชนิดที่คนถามมีสิทธหงายหลังได้ง่าย ๆ ... จึงขออนุญาตนำมาฝากชุมชนนี้คะ
...........................................................
 
มาร์วัน มาคาร แห่งอินเตอร์เพรส เซอร์วิส : 
ข้อจำกัดประการหนึ่งสำหรับนักข่าวต่างประเทศเมื่อรายงานเรื่องสถาบันกษัตริย์ก็คือกฎหมายว่าด้วยความผิดอาญาฐานหมิ่นพระบรมราชานุภาพ 
คุณได้กล่าวถึงพระราชดำรัสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ.2548 
พระองค์รับสั่งว่าพระเจ้าแผ่นดินก็อาจพลาดได้ 
แต่ผู้สื่อข่าวไทยไม่ได้จับมาเป็นประเด็นและยังคงทำงานข่าวอย่างที่เคยทำมาก่อนหน้านั้น 
คุณคิดว่าจะมีโอกาสไหมที่นักการเมืองชั้นนำของไทยจะนำทางโดยกล่าวว่าเรามีความเคารพในสถาบัน 
แต่ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องมีกฎหมายแบบนี้ 
ซึ่งควบคุมการรายงานข่าวเกี่ยวกับสถาบันตามที่เป็นอยู่ 
และแผนที่รายงานเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 
 
 
นายอานันท์ ปันยารชุน : 
นี่เป็นคำถามค่อนข้างยาก 
เหมือนกับว่าคุณจะเอาแต่ประโยชน์โดยไม่ยอมเสียอะไรเลย 
ด้านหนึ่งคุณจะต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน 
ผมใคร่จะเรียนว่าผมไม่ทราบว่ากฎหมายมาตรานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ใน 2 
วาระที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมมีโอกาสได้เฝ้าฯ 
พระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งคราว 
พระองค์ท่านไม่เคยรับสั่งแม้แต่ครั้งเดียวเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ 
ทั้งที่หลายเรื่องก็ไม่เป็นธรรม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ 
เหล่านี้พระองค์ท่านไม่เอามาเป็นเรื่องรบกวนพระทัย 
และไม่ทรงเห็นว่าสำคัญพอที่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นกับนายกรัฐมนตรีของพระองค์ 
 
อีกด้านหนึ่งคุณก็ต้องเข้าใจว่าบางเรื่อง 
เฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของตะวันตก ความขลังของสถาบันกษัตริย์ 
ซึ่งกำลังลื่นไหลไปตามกระแสหลักด้วยคิดว่ากษัตริย์ควรทำตนให้เหมือนสามัญชน 
นั่นก็อาจเป็นเรื่องดี คนไทยเราไม่ขัดข้องในกระแสดังกล่าว 
แต่ผมคิดว่าพวกคุณก็ต้องเคารพแนวคิดและขนบประเพณีของผู้คนในประเทศนี้ 
พระเจ้าอยู่หัวไม่เคยรับสั่งเรื่องนี้กับผมเลย 
แต่ในความเห็นส่วนตัวผมเองก็ไม่ค่อยชอบกฎหมายนี้ 
เผอิญผมได้รับการศึกษาในต่างประเทศ และใช้ชีวิตในต่างประเทศ 
แต่พวกคุณต้องเข้าใจว่าในประเทศนี้ 
พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในสถานะที่จะล่วงละเมิดมิได้โดยเจตนารมณ์ของประชาชน 
ผมเชื่อแน่ว่าพระองค์ท่านไม่เคยทรงวิตกว่ากฎหมายมาตรานี้จะมีอยู่หรือไม่ 
แต่คนไทยจะไม่ยอมแน่ พวกคุณอาจจะต้องคอยนานถึง 20 หรือ 50 ปี 
แต่คนไทยไม่ว่าจะผิดหรือถูกจะไม่ยอมทน "คำวิพากษ์วิจารณ์" 
พระเจ้าอยู่หัวของเราโดยเด็ดขาด นี่คือความรู้สึกของคนไทย 
 
ถ้าหากคุณทำประชามติ (เรื่องนี้) ในวันพรุ่งนี้ 
คุณก็จะได้เห็นว่ามีการออกเสียงเห็นชอบเพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว 
ผมคิดว่านี่เป็นลักษณะการคิดของคนไทย เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกมากว่า 800 ปี 
ซึ่งคงจะล้มล้างกันไม่ได้ง่ายๆ 
บางครั้งผมอดที่จะอัศจรรย์ใจไม่ได้ว่าคนไทยเรานี่ดูจะเป็นคาทอลิกยิ่งเสียกว่าองค์พระสันตะปาปา 
(เสียงหัวเราะ) 
ผมเชื่อเสมอว่าคนไทยเป็นพวกสนับสนุนระบอบราชาธิปไตยยิ่งกว่าพระเจ้าอยู่หัวเสียอีก 
(เสียงหัวเราะ) 
 
ไม่เพียงแต่ประชาชนคนไทยเท่านั้น 
รัฐบาลไทยเองก็วิตกกังวลไปด้วยทุกครั้งที่มีหนังสือ 
หรือสิ่งตีพิมพ์ออกมาใหม่ วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว 
ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคือรัฐบาลซึ่งจะจัดการห้ามจำหน่ายหนังสือเล่มนั้น 
ภาพยนตร์เรื่องนี้สกัดนั่น สกัดนี่ ทำไมหรือ 
เหตุผลก็คือรัฐบาลเกรงว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยจะถูกประชาชนตำหนิ 
ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณจะตำหนิรัฐบาลก็ไม่ถูกนัก 
เพราะที่ทำไปก็เพียงตอบสนองความรู้สึกของประชาชน 
 
 
โจนาธาน เฮด จาก บีบีซี : 
ผมสังเกตว่าเมื่อคุณพูดถึงความสำเร็จต่างๆ 
ของพระเจ้าอยู่หัว ความสำเร็จประการหนึ่งก็คือ 
การแทรกแซงของพระองค์มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความสงบ 
และความกลมเกลียวกันของสังคม แต่คุณก็เคยพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า 
คุณเองไม่ค่อยมั่นใจในความกลมเกลียวนัก 
ผมทราบมาว่ามีคนจำนวนไม่น้อยตำหนิสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง 
ซึ่งขณะนี้กำลังปลาบปลื้มกับการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลระดับยอดของบริติชพรีเมียร์ลีก 
ว่าเป็นต้นเหตุของความร้าวฉานส่วนใหญ่ในสังคม 
ผมชักจะสงสัยว่าสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากจนเกินกว่าที่พระองค์จะมีส่วนช่วยธำรงความสามัคคีของสังคมไว้ได้ปัจจุบันสังคมได้ก้าวไปไกลมาก 
และปัญหาก็ซับซ้อนเกินจะเยียวยาด้วยการแทรกแซงของพระองค์แล้ว 
 
นายอานันท์ : 
คุณโจนาธาน แม้ว่าคุณกับผมจะศึกษามาในสถาบันเดียวกันก็ตาม 
(เสียงหัวเราะ) ผมต้องขออนุญาตเห็นต่าง ผมไม่เคยใช้คำว่า "แทรกแซง" เลย 
สำหรับผมพระองค์ท่านทรงยึดตัวบทกฎหมายตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด 
เรื่องซึ่งชาวต่างประเทศมองว่าพระองค์ท่าน "แทรกแซง" ผมขอแยกออกเป็น 2 
ประเภท ประเภทแรกเป็นการแทรกแซงที่ริเริ่มด้วยบุคคลผู้นั้นเอง 
ในกรณีของพระเจ้าอยู่หัว การแทรกแซงเป็นการเข้าไปโดยมีผู้ร้องขอ 
จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันเล็กน้อย อีกประการหนึ่ง 
ตลอดระยะเวลาที่ผมทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ครั้งนั้น 
ผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงาน ไม่เคยมีรับสั่งใดๆ 
แม้แต่ครั้งเดียวที่เกี่ยวข้องกับการเมืองของประเทศ 
หากจะมีครั้งใดที่ทรงรู้สึกว่าอาจจะก้าวล้ำขอบเขต 
พระองค์ท่านก็ทรงยับยั้งไว้ในกรอบวินัยที่ทรงตั้งไว้ จะรับสั่งกับผมว่า 
"นี่เป็นเรื่องที่นายกฯ มาขอความเห็นนะ" 
 
ฉะนั้น เมื่อผมเขียนสุนทรพจน์ครั้งนี้ ผมได้ชี้ให้เห็นชัดว่าไม่ใช่ 
"ปรึกษานายกรัฐมนตรี" แต่ "ขอเข้าเฝ้าฯ ปรึกษา" 
ถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีนำขึ้น 
พระองค์จะไม่พระราชทานคำปรึกษาใดๆ เลย 
หากจะทรงมีความเห็นก็จะให้เฉพาะเรื่องที่ทูลถามเท่านั้น 
มีบางคนที่ไม่ได้มาจากประเทศที่มีกษัตริย์ 
หรือมาจากประเทศที่กษัตริย์ลดบทบาทลงตามกระแสความคิดของส่วนนั้นๆ ของโลก 
แต่สำหรับประเทศไทย สถาบันกษัตริย์เป็นแบบกลางๆ 
ยังคงรักษาพระราชพิธีและพระราชประเพณี ยังคงมีพิธีกรรมและพิธีการ 
แต่กระนั้น กษัตริย์และพระราชวงศ์จะใกล้ชิดประชาชนกว่ากษัตริย์ในประเทศอื่นๆ 
แม้ว่าในบางประเทศกษัตริย์และราชวงศ์จะปฏิบัติองค์ดั่งสามัญชน 
เช่นขี่จักรยาน หรือไปซื้อของตามห้างร้านเหมือนคนทั่วไปก็ตาม 
ในหลวงของเรารู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรของพระองค์เป็นอย่างดี 
ทรงเข้าใจความคิดจิตใจของคนธรรมดาสามัญ 
จนมีคำติติงว่าทรงให้เวลากับชาวไร่ ชาวนา คนยาก คนจน 
มากกว่าให้เวลากับชาวเมือง 
ในหลวงทรงเชื่อว่าประเทศไทยไม่ใช่เพียงผู้คนในกรุงเทพฯ 
ประเทศไทยคือดินแดนในชนบท 
 
ถ้าคุณได้เรียนรู้พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจต่างๆ ตลอดระยะ 60 
ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าพระองค์ทรงมุ่งเป้าไปที่ชนบทและชาวบ้าน 
ผู้ยากไร้ขัดสน พระองค์เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่อาจจรรโลงเกียรติแห่งสถาบันนี้ไว้ได้ 
แต่ก็ยังแนบสนิทกับราษฎรยิ่งกว่ากษัตริย์พระองค์ใดในโลก 
 
 
จอห์น ฮาร์เกอร์ - สมาชิก FCCT มาหลายทศวรรษ (นักข่าวอิสระ) : 
ผมอยากถามความเห็นของคุณในการรายงานข่าวของผู้สื่อข่าวต่างประเทศเรื่องการปฏิวัติเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว 
 
นายอานันท์ : 
ความจริงผมคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นว่านักสังเกตการณ์ชาวตะวันตกเริ่มจะคิดเรื่องประชาธิปไตยทำนองเดียวกับคุณทักษิณ (เสียงหัวเราะและปรบมือ) ผมเป็นนักศึกษาในประเทศอังกฤษ 7 ปี 
อยู่ในประเทศอเมริกา 12 ปี และเดินทางไปทั่วโลกในระยะเวลา 50 ปี 
ผมมักถูกกล่าวว่าเป็นคนไทยนิสัยฝรั่ง อย่างไรก็ตาม 
ผมไม่เคยคิดว่าคนตะวันตกจะคิดแบบง่ายๆ ขนาดที่คิดว่าสามารถจะยัดเยียดประชาธิปไตยให้กับอิรักได้ 
ต้องการเปลี่ยนทั้งโลกให้เป็นประชาธิปไตยด้วยการปลูกฝังกระบวนการ 
ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคนตะวันตกบางคนจะถือเอาว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย 
 
ในที่นี้บางคนอาจได้อ่านบทสัมภาษณ์ของผมที่ลงพิมพ์ในบางกอกโพสต์ 
เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เราสนใจเพียงรูปแบบ มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง 
มีฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เท่านั้นหรือ เราไม่รู้ 
หรือลืมไปแล้วว่าประชาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องของสังคมเปิด 
เรื่องหลักนิติธรรม เรื่องความโปร่งใส เรื่องเสรีภาพของสื่อมวลชน 
เรื่องภาระความรับผิดชอบ 
เรื่องการมีส่วนร่วมเรื่องความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ 
เรื่องการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เรื่องการถ่วงดุลอำนาจ 
ผมรู้สึกงงงวยอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีมานี่ 
เราพากันหลงทางจนขนาดไม่รู้ว่าเรามาจากไหน เราเป็นใคร 
และเรากำลังจะไปไหนแล้วหรือ เราลืมค่านิยมต่างๆ ของเราแล้วหรืออย่างไร 
เราเบาปัญญาขนาดนั้นเทียวหรือ 
ผมไม่กังวลหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอนาคต 
ที่ผมกังวลอย่างยิ่งก็คือ โลกของเราจะเป็นอย่างไร 
นี่เป็นคำถามที่สาหัสสากรรจ์ที่คุณต้องถามตัวเอง 
เรากำลังจะก้าวไปในทิศทางใด เราลืมหลักการพื้นฐานไปเสียแล้วหรือ 
เราลืมหลักศีลธรรมไปเสียแล้วหรือ
 
ดอมินิก โฟลเดอร์ แห่งเอเชีย อิงก์ : ในคำนำของเดนิส (เกรย์) 
ในหนังสือเล่มนี้ มีข้อสังเกตว่าพระเจ้าอยู่หัวได้การโฆษณาประชาสัมพันธ์มากมายชนิดที่หลายต่อหลายคนได้แต่ฝัน 
และหากคุณพิจาณาจากช่วงเวลา 60 ปีมานี่ 
คุณลงความเห็นได้ไหมว่าสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย 
ในกาลข้างหน้าจะอยู่ในสภาพมั่นคงดีต่อไปเช่นที่พระองค์ท่านได้ดำเนินการไว้ 
 
 
นายอานันท์ : 
ผมพูดอยู่เสมอว่าสถานภาพของพระเจ้าอยู่หัวของเราที่สูงขึ้นถึงระดับนี้หลังจากครองราชย์มา 
60 ปี เป็นผลมาจากบารมีที่พระองค์ทรงสร้างมา มิได้เป็นเรื่องการสืบทอด 
เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ในวัยเพียง 17-18 พระชันษา 
ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าพระองค์จะเป็นประมุขของชาติแบบใด 
แต่ผมคิดว่าด้วยพระปรีชาสามารถ พระวิริยอุตสาหะ และมุ่งมั่น 
พระองค์ทรงได้จำเริญขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ดี 
เมื่อกล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวของเรา 
พระองค์ท่านไม่เพียงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ 
แต่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีด้วย ผมขอชี้ว่ามีความแตกต่าง 
เพราะผู้ใดผู้หนึ่งอาจเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ 
ทั้งที่มีข้อบกพร่องและข้อเสียหลายประการ 
แต่ถ้าหากเราพูดว่าผู้นั้นเป็นคนดีสำหรับผมมีความหมายมากกว่า ฉะนั้น 
เมื่อเรากล่าวถึงพระองค์ท่านว่าทรงเป็นกษัตริย์ที่ดี 
จึงมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่กล่าวว่าพระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ 
การจะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดี เป็นคนดี 
เป็นเรื่องที่จะต้องได้มาด้วยอุตสาหะของตนเอง 
ไม่ใช่สืบทอดมาแต่อย่างไรก็ตาม 
สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นซึมลึกอยู่ในประเทศไทยและความเป็นไทย 
ผมมั่นใจว่าสถาบันนี้จะยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์และดำเนินต่อไป 
 
มาถึงประเด็นที่ว่าผู้ใดจะเข้ามาแทนที่ 
และผู้นั้นจะพยายามทำได้ดีเท่าองค์ปัจจุบันไหม 
ผมว่าไม่ค่อยยุติธรรมนักที่จะคาดหวังว่าผู้สืบทอดตำแหน่งนี้ 
จะสามารถเดินตามรอยเท้าของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ได้ 
ถ้าหากคุณดูผู้นำระดับโลกที่มีบุตรชายและหญิงเดินตามรอยเท้าพ่อ อย่างเช่น 
เชิตชิลล์ ผมว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะคาดหวังว่าบุตรธิดาเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จอย่างพ่อ 
กระนั้นก็ตาม ผู้ที่สืบทอดราชบัลลังก์คงจะพยายามจนสุดความสามารถที่จะทำให้ได้เทียมเท่าในหลวงพระองค์นี้ 
จะสำเร็จหรือไม่เพียงใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 
คำถามคือว่าผู้นั้นจะพยายามทำหรือไม่ และจะสำเร็จแค่ไหน 
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ 
และถึงแม้ว่าผู้นั้นจะพยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จ 
เขาผู้นั้นก็ยังคงเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ 
เป็นประมุขของสถาบันซึ่งจะคงอยู่ถาวรในประเทศไทย 
ประชาชนจะยังคงรับได้ว่าเรามีพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงสง่าราศี 
แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ 
เราก็ยังคงเคารพนับถือว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินของเรา 
 
นี่แหละที่ผมเห็นว่าเป็นการขัดแย้งในตัวเองของผู้สื่อข่าวและผู้สังเกตการณ์ต่างประเทศ 
ทางหนึ่งพวกคุณตำหนิพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ว่า "แทรกแซง" 
อีกทางหนึ่งคุณก็คล้อยตามคนไทย 
และอาจจะไม่รู้ตัวว่ายังต้องการพึ่งพระราชอำนาจของพระองค์อยู่ 
พวกคุณไม่อาจจะเอาแต่ประโยชน์โดยไม่ยอมเสียอะไรเลย 
ถ้าหากคุณไม่ต้องการให้พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ "แทรกแซง" 
การที่พระเจ้าอยู่หัวองค์ต่อไปไม่ทรง "แทรกแซง" จะไม่ถูกต้องได้อย่างไร 
ผมไม่แน่ใจว่าคำชี้แจงของผมชัดเจนหรือไม่ ที่ผมจะอธิบายก็คือ 
พระบารมีของพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่สร้างสมมาด้วยพระองค์เอง 
เป็นสิ่งที่สืบทอดกันไม่ได้ 
ผู้ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์อาจจะพยายามสร้าง 
แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็ได้ ถ้าหากไม่สำเร็จก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่พอใจ 
ผู้นั้นยังคงอยู่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นสัญลักษณ์ของสถาบัน 
 
แต่พวกคุณไม่อาจจะกล่าวว่าเราคนไทยหวังพึ่งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้อย่างมาก 
จนจะเกิดสุญญากาศหากขาดพระองค์ท่านไป 
คุณตัดสินใจเองก็แล้วกันว่าต้องการพระเจ้าอยู่หัวที่มีบทบาทหรือนิ่งเฉย 
คุณเองก็ตกอยู่ในกับดักเช่นเดียวกันกับคนไทยทั้งหลาย 
คุณเองก็เริ่มที่จะจู้จี้ช่างเลือก ผมเคารพในสถาบันกษัตริย์ 
แต่ความเคารพหลักของผมคืออะไร ความเคารพหลักของผมคือสถาบัน 
และถ้าเรามีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงบารมีเช่นนี้ถือว่าเป็นรางวัลพิเศษ 
 
 
เดนิส เกรย์ แห่งสำนักข่าวเอพี : 
คุณคงทราบว่าคนไทยเกือบทุกคนและฝรั่งที่อยู่ในประเทศนี้ 
มักแสดงความวิตกกังวลว่า หากประเทศไทยไม่มีในหลวงก็จะมีแต่ความวุ่นวาย 
มีปัญหา บางคนก็ว่าอาจถึงขั้นจลาจล 
 
 
นายอานันท์ : 
ก็เป็นฝรั่งพวกเดียวกันนี่แหละที่พร่ำบ่นว่าพระเจ้าอยู่หัวทรง "แทรกแซง" 
ในเรื่องนั้น เรื่องนี้ แต่เมื่อไม่มีพระองค์ท่านแล้วก็จะพร่ำหา 
เลือกเอาก็แล้วกันว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่สำหรับตัวผมนั้นบอกได้เลยว่า 
อะไรก็ตามที่พวกคุณกล่าวหา ล้วนไม่เป็นความจริง 
พระองค์ท่านไม่เคยแทรกแซงในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น 
พระองค์ท่านไม่มีวาระซ่อนเร้น 
 
เดนิส เกรย์ แห่งสำนักข่าวเอพี : ไ
ม่เว้นแต่ละวันที่ผมและเพื่อนๆ นักข่าว 
บางทีคุณ หรือคนไทยบางคนจะพูดกันว่า แย่มากเลยนะถ้าประเทศไทยไม่มีในหลวง 
เพราะประเทศจะวุ่นวายโกลาหล จริงไหมครับ 
 
นายอานันท์ : คุณต้องเข้าใจนะ ผมก็เป็นคนส่วนน้อย 
ผมเบื่อพวกนักข่าวต่างประเทศเสียจริงๆ (เสียงหัวเราะ เสียงปรบมือ) 
แต่ผมก็เบื่อพวกคนไทยมากกว่า 
ผมพูดที่โต๊ะอาหารว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า 
จะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม ตลอดเวลา 15 
ปีที่ผ่านมา ผมได้พยายามที่จะชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง "ประโยชน์" 
ซึ่งหมายถึงผลประโยชน์ทางวัตถุ และ "ความสุข" 
ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณพอใจหรือไม่ 
 
ถ้าคุณวัดจีดีพีของประเทศ 
ผลที่ได้จะไม่สะท้อนพัฒนาการของประชาชนอย่างแท้จริงเลย 
คุณต้องดูดัชนีวัดความสุขของประชาชน แบบที่ทำกันที่ภูฏาน 
ผมเคยเชื่อเสมอมาจนกระทั่ง 2-3 ปีที่แล้ว 
ถ้าคุณวัดประเทศไทยตามดัชนีวัดความสุขมวลชนของประเทศ 
คุณก็จะพบว่าแทนที่จะอยู่ในลำดับที่ 65 ตามจีดีพี 
เราก็จะขึ้นไปอยู่ประมาณลำดับที่ 25 หรืออาจจะถึง 20 ก็ได้ 
 
แต่ผมต้องยอมรับว่าผมเลิกความคิดนี้แล้ว เพราะผมไม่สามารถเข้าใจคนไทยได้ 
(เสียงหัวเราะ) จะด้วยเหตุใดก็ตาม คนไทยไม่เพียงแต่จะมองสิ่งต่างๆ 
ไปในแง่ร้ายเท่านั้น แต่ยังชอบลงแส้ทรมานตนอีกด้วย 
เรามีการลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ ทันทีที่ผลออกมา 
คนพวกนี้ก็เป็นกังวลว่าผลออกมาไม่ดี 
เพราะเสียงส่วนใหญ่ที่เห็นชอบนั้นมีเพียง 57% เสียงที่ไม่เห็นชอบประมาณ 
41% คะแนนเสียงต่างกัน 15% 
และถ้าดูจำนวนเสียงทั้งหมดจะเห็นว่าเป็นความแตกต่างระหว่างเกือบ 15 
ล้านเสียง กับ 11 ล้านเสียง ซึ่งก็คือส่วนต่าง 15% ของผู้ที่ออกไปลงเสียง 
4 ล้านเสียง ถ้าคุณอ่านหนังสือพิมพ์ไทย อ่านบทความ 
ฟังรายการวิพากษ์วิจารณ์ข่าว ล้วนแสดงความคิดเห็นว่าเสียงต่างกันน้อยมาก 
ซึ่งผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ 
อีกประการหนึ่งทันทีที่ผลการลงประชามติออกมาส่วนใหญ่รับร่างรัฐธรรมนูญ 
ก็มีการพูดถึงรัฐประหารครั้งต่อไป (เสียงหัวเราะ) ผมถามว่าพลาดตรงไหน 
มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ 
เป็นเรื่องไร้ตรรกะและเหตุผลโดยสิ้นเชิง 
ผมให้คำตอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมโทษคุณทักษิณ 
(เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือ) 
 
 
จอห์น แอลลัน เรย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น : 
คุณอานันท์ได้ชี้แจงและพูดถึงสถาบันกษัตริย์ และพระราชอำนาจของกษัตริย์ 
ผมสังเกตว่าตลอดเวลาคุณอานันท์ใช้สรรพนามเพศชายในภาษาอังกฤษ 
เป็นไปได้ไหมในอนาคตที่ยาวนานจะมีการใช้สรรพนามเพศหญิง 
 
 
นายอานันท์ : 
ผมไม่เห็นมีอุปสรรคใดๆ ในอนาคต 
ผมไม่ทราบว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุไว้ว่าอย่างไร 
ผมชื่อว่าเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว 
ผมไม่คิดว่าคนไทยจะเห็นเป็นเรื่องขบคิดกันมาก ไม่เหมือนชาวญี่ปุ่น 
ซึ่งในเรื่องนี้ถึงกับมีสงครามกลางเมือง 
ดูกรณีที่เจ้าชายชาวญี่ปุ่นองค์หนึ่งโทษนิสัยโปรดปรานการดื่มน้ำเมาของพระองค์ว่าเกิดจากประเด็นที่ว่าสตรีอาจจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ 
เราไม่เคร่งครัดถึงปานนั้น 
ประการหนึ่งคนไทยไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องอย่างนั้น 
ใครที่มาเมืองไทยและเอาจริงเอาจังกับคนไทยแล้วค่อนข้างจะอันตรายกับตนเองสักหน่อยนะ 
(เสียงหัวเราะและปรบมือ) 
 
บทส่งท้าย 
 
นายอานันท์ : เรื่องหนึ่งซึ่งผมไม่ค่อยสบายใจนักคือ 
มีการกล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวว่าไม่เคยเห็นแย้มพระสรวล 
ผมคิดว่าเป็นข้อจำกัดอันเนื่องมาจากธรรมเนียมประเพณีและความเคารพในพระองค์ท่าน 
มีบุคคลไม่กี่คน 
บทความหรือบทสัมภาษณ์ไม่กี่ชิ้นที่สามารถถ่ายทอดให้คนทั่วไปได้เห็นด้านที่ผ่อนคลายของพระองค์ 
ผมจะเล่าเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ให้ฟังสัก 2-3 เรื่อง 
ปกติแล้วผมจะไม่เปิดเผยเรื่องที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งกับผมในฐานะนายกรัฐมนตรี 
แต่ผมว่าสมควรในกรณีนี้เพื่อที่เราจะได้รู้จักพระองค์ท่านดีขึ้นในฐานะมนุษย์ธรรมดา 
 
เรื่องแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อผมทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 
2540 มีบางเรื่องซึ่งผมคิดว่าพระเจ้าอยู่หัวจะสนพระทัย 
เมื่อฉบับร่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมได้ขอเข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายรายงาน 
และยก 3-4 ประเด็นที่คิดว่าจะสนพระทัย แต่พระองค์ท่านไม่ได้สนพระทัยนัก 
แน่นอนพระองค์สนพระทัยประเด็นที่ว่าจะตราพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ 
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ค่อยสนพระทัยเรื่องที่ผมรายงานสักเท่าใด 
ตอนสุดท้ายพระองค์รับสั่งว่า "คุณอานันท์ 
มันแปลกดีนะที่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ 
กำหนดไว้ว่าพระมหากษัตริย์จะต้องเป็นพุทธมามกะ ต้องเป็นอัครศาสนูปถัมภก 
ต้องเป็นนั่น ต้องเป็นนี่ 
แต่ไม่มีตรงไหนในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุว่าพระมหากษัตริย์ต้องเป็นคนไทย" (เสียงหัวเราะและปรบมือ) 
ผมขอท้าพวกคุณว่าในบรรดาคนไทย 62 ล้านคน 
มีใครไหมที่ปราดเปรื่องคิดถึงรายละเอียดด้านเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ 
 
อีกเรื่องหนึ่งเมื่อผมเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวาระที่ 2 
โดยอุบัติเหตุอีกนั่นแหละ (เสียงหัวเราะ) ในการเข้าเฝ้าฯ ครั้งแรก 
ผมถวายคำนับแล้วลงกราบพระบาท พอผมยืนขึ้น ทรงรับสั่งว่า "Shane, come 
back" (เสียงหัวเราะ) 
พวกคุณที่อายุไม่มากนักอาจจะไม่รู้เรื่องเชนว่าเป็นมาอย่างไร 
เชนเป็นภาพยนตร์ที่พวกเราได้ชมกันเมื่อ 40 หรือ 50 ปีก่อน 
เชนเป็นคนเที่ยงธรรม เป็นนายอำเภอของเมืองเมืองหนึ่งที่มีปัญหาหนักมาก 
เขาทำให้เมืองสงบเรียบร้อย กวาดล้างมือปืนวายร้าย 
แล้วก็วางอาวุธปลดเกษียณตัวเองไปอยู่ในชนบท 
แต่ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในเมืองนั้นอีก เราเลยพูดกันติดปากว่า "Shane, 
come back" (เสียงหัวเราะและปรบมือ) 
 
 
ที่มา : บทสัมภาษณ์ ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน 
"พระมหากษัตริย์ที่ดีและยิ่งใหญ่" จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 
ฉบับวันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2550
 
หมายเหตุ : คำถาม-คำตอบ ฯลฯ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี 
หลังการกล่าวแนะนำหนังสือเรื่อง The King of Thailand in World Focus 
กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล
 
http://image.ohozaa.com/it/__fwdder....2824836a14.jpg