ใครดูรายการของคุณสัญา คุณากร ได้คุยเรื่องน้ำมันในประเทศไทยบ้าง

ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ ฮวดใช้ ตั่วๆทั่ง นะคะ และก็ขออวยพรให้เพื่อนๆมีความสุขในวันแห่งความรักที่จะถึงนี้ด้วยค่ะ หนึ่งมาเหมือนเดิมกับ forward mail ลองอ่านดูค่ะ อย่าเครียดน้า เดี๋ยวจะแก่เร็ว โชคดีกันทุกๆท่านคร้า :D:D:D


ใครดูรายการของคุณสัญา คุณากร
ด้คุยเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ฟังเเล้วช๊อคจริงๆครับเพื่อนๆ
ทางคุณสัญญาได้เชิญอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ในกระทรวงพลังงานมาเล่าให้ฟัง
ซึ่งผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นข้าราชการระดับสูง ในกระทรวงพลังงานในสมัยพลเอกเปรม

ได้ฟังท่านเล่าเเล้วผมขนลุก...ครับ
ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าเมืองไทยไม่สามารถผลิตนำมันได้เอง ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ซึ่งท่านบอกว่าเมืองไทยมีกำลังผลิตได้ 1,000,000 บาร์เรล/วัน(ปตท.)
เเละเมืองไทยใช้น้ำมันวันละ 700,000 บาเรล/วัน
เเละเมืองไทยส่งออกน้ำมันประมาณ 100,000 บาเรล/วัน

ฟังเเล้วเพื่อนคิดยังงัยครับ
เเละที่เเย่กว่านั้น..น้ำมันที่ส่งออกไปขายในต่างประเทศ ราคาถูกกว่าที่ขายในเมืองไทยหลายบาทถ้าเทียบต่อลิตร
ตอนนี้มาเลเซียใช้น้ำมันเบนซินเเละดีเซลประมาณลิตรละ 20 บาทต้นๆ
ท่านบอกว่าสาเหตุที่ทำให้น้ำมันราคาเเพง เพราะว่าอธิบดีหรือผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงพลังงานถือหุ้นบริษัทโรงกลั่น
ทำให้ไม่มีการเข้ามาจัดการเเละดูเเล
ราคาที่ปรับขึ้นทีละ .50 บาทเป็นการขึ้นจากโรงกลั่นซึ่งราคาที่ปรับขึ้นไม่ได้มาจาก cost ต้นทุน
เเต่ป็นราคาที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ โดยอ้างอิงจากตลาดที่ผันผวนมากที่สุด
ในที่นี้ท่านยกตัวอย่างตลาดสิงคโปร์ เเต่จริงๆเราซื้อจากตะวันออกกลาง

เเละอีกอย่างที่น่าตกใจ ท่านบอกว่าในประเทศไทยมี stock น้ำมัน 2 เดือนเเละหมุนเวียนอย่างนี้เรื่อยๆ
พอเวลากระทรวงปรับน้ำขึ้นพวกพ่อค้าเอาน้ำมันใน stock มาปรับขึ้นด้วย
คิดดูเอาเองว่าเป็นเงินเท่าไหร่
ไทยใช้ 700,000 บาเรล/วัน ( 1 บาเรล = 159 ลิตร )
2 เดือนกี่ลิตร ลิตรละ .50 บาท ลองคูณดู

บริษัทที่ได้กำไรเยอะมากคือ ปตท เพราะ มีโรงกลั่น 5 โรง อีก 2 โรงเป็นของเอกชน
รวมในประเทศไทยมีโรงกลั่น 7 โรง เป็นของ ปตท 5 โรง
เเล้วท่านสรุปกำไรของปตทในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประมาณปี 2540-2544 ปตท กำไรปีละ 22,000 ล้านบาทครับ
ฟังเเล้วเป็นงัยครับพี่น้อง...
กำไรเท่ากับงบประมาณ 1 กรมเลยทีเดียว

เเละที่สุดยอดกว่านั้น ปี 2545-2550 ปตทกำไรเพิ่มเป็น 50,000ล้านบาท/ปี
เเละที่สุดๆ คือ ในปี 2548 กำไร 195,000 ล้านบาท
ฟังเเล้วอยากให้ลูกทำงานบริษัท ปตท มั้ยครับเพื่อนๆ
กำไรดังกล่าวมาจากอะไรลองคิดดูครับ
ประชาชนตาดำๆอย่างเราเสียค่าน้ำมันลิตรละ 36 บาท
ถ้าเป็นรัฐบาลก่อนๆ น้ำมันขึ้น 3 บาท รัฐมนตรี นายก ต้องก้นร้อนเเล้ว
เเล้วรัฐบาลน ี้ล่ะ..ตอนนี้ขึ้นไปกี่บาทเเล้ว เพื่อนๆลองคิดดูเเล้วกัน

ถ้า ปตท ลดกำไรลงเท่ากับ 20,000 ล้านบาท/ปี
เเค่นี้เราก็ใช้นำมันลิตร 20 บาทเเล้วครับ
(นี่เเหละเหตุผลที่ไม่อยากให้เเปรรูปอุตสาหกรรมพวกนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน)

นี่คือเหตุผลว่าทำไมพนักงานการไฟฟ้าถึงได้ประท้วงเวลามีการเเปรรูป
เพราะมันจะเป็นเหมือนน้ำมัน ซึ่งพอเข้าตลาดหุ้นจะมีผลประโยชน์ท ับซ้อนตามมา
อธิบดี รัฐมนตรี เมียอธิบดี เมียรัฐมนตรี ถือหุ้นโรงกลั่น
ทำให้ไอ้พวกนี้ไม่เข้าไปดูเเลเเละจัดการอย่างจริงจัง
ทำให้น้ำมันเเตะลิตรละ 40 บาทเเล้ว ณ ปัจจุบัน


มาร่วมมือกันดีไหม...


ด้วยการเติม esso, shell
และถ้าจะให้ดีกว่านี้..เราต้องร่วมมือกันไม่ซื้อมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้
ถ้าทุกครั้งเราเคยเติม 1000 บาทหรือเต็มถ้ง.. คราวนี้เราจะไม่เติมมากกว่าที่เราจำเป็นต้องใช้

ตัวอย่างเช่น วันนี้จะวิ่ง 30 กม. เราก็เติม 4.5 ลิตรหรือ 200 บาท
จะวิ่งอีก 70 กม. เราก็เติม 10 ลิตรหรือ 400 บาท
จะวิ่งอีก 100 กม. เราก็เติม 14 ลิตรหรือ 500 บาท

อย่าเติมเยอะ...
ไม่ต้องไปตุนเพราะกลัวว่าพรุ่งนี้จะขึ้นราคา

คราวนี้สต็อกน้ำมันในคลังก็จะล้น
เพราะปริมาณที่เคยขายทุกวันก็จะถูกเลื่อนให้ต้องเก็บไปขายในอนาคต จนล้นแท็งก์เก็บ
ถ้ามันยังอยากขายก็ต้องลดราคาลงมา ให้มันรู้ว่าไผเป็นไผ
เคยมีคนศึกษากรณีไข่ไก่แพง และได้ลองทำ

ล้กษณะนี้ได้ผลมาแล้ว

สั่งสอนให้บทเรียนสักหน่อย เริ่มลงมือปฏิบัติการได้เลย
ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย ขอเพียงช่วยกันกระจายข่าวไปให้มากที่สุด
สามัคคีคือพลัง... ส่งมาให้อ่านกันเพราะอยากให้ราคาน้ำมันลดลงจริงๆ
พวกเราโดนโอเปครวมหัวขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม ก็น่าจะมีมาตรการที่จะต่อสู้ ตอบโต้กลับไป
ข้อเสนอนี้ก็น่าจะเป็นข้อเสนอหนึ่งที่ถ้าร่วมกันทำจริงๆ ก็น่าจะแสดงอะไรออกมาได้บ้าง

เป็นเรื่องธรรมดาอะเนอะ
คุณพ่อเราทำงานการไฟฟ้า ก็เคยเล่าถึงการเอาการไฟฟ้าและประปาเข้าตลาดหุ้นเหมือนกัน
คุณพ่อบอกว่า ถ้าทำอย่างนั้นเราคงอยู่ประเทศไทยกันไม่ได้แล้ว
ถึงจะอ้างว่าขาดทุนทุกปี แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสาธารณูปโภคจำเป็น
ที่รัฐจะจัดให้ประชาชนได้อยู่กันอย่างสุขสบาย

พูดยากเน้อคุณหนึ่ง เงินไม่เข้าใครออกใคร ไม่ทราบว่าที่ผ่าน ๆ มาเข้ามือใคร ใครได้ผลประโยชน์กันมั่ง เพราะที่ผ่าน ๆ และที่เป็นอยู่ก็มีแต่ผู้มีอำนวจ และก็ว่าคนเองบริหารดี บริหารไม่โกงไม่กิน

Quote:

---

Originally Posted by wawe

พูดยากเน้อคุณหนึ่ง เงินไม่เข้าใครออกใคร ไม่ทราบว่าที่ผ่าน ๆ มาเข้ามือใคร ใครได้ผลประโยชน์กันมั่ง เพราะที่ผ่าน ๆ และที่เป็นอยู่ก็มีแต่ผู้มีอำนวจ และก็ว่าคนเองบริหารดี บริหารไม่โกงไม่กิน

---

คิดเหมือนย่าแหววเลยอ่ะ...

ขอให้ข้อมูลนิดนึงนะคะ จาก forward mail ข้างต้นอ่านแล้วเดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ขอให้ข้อเท็จจริงที่ให้ได้กว้าง ๆ อาจจะซับซ้อนหน่อยแต่จะเรียบเรียงให้เข้าใจง่าย ๆ นะคะ

ที่บอกว่าประเทศไทยเองมีน้ำมันนั้น ถูกแค่ครึ่งเดียวค่ะเพราะน้ำมันที่ขุดได้ในประเทศไทยนั้นเมื่อนำมากลั่นแล้วค่าออกเทนต่ำมาก ซึ่งน้ำมันที่ค่าออกเทนต่ำนำไปทำได้แต่น้ำมันเตาสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้นนะคะ นำมาใช้กับเครื่องยนต์ไม่ได้ค่ะ ดังนั้นน้ำมันที่เราหาได้ในประเทศนั้น ส่วนใหญ่เราจึงส่งออกทั้งหมดเพราะกลั่นแล้วไม่คุ้ม

ดังนั้นเราจึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบ ของ ปตท. นั้นนำเข้าจาก 2 แหล่งใหญ่ ๆ การซื้อน้ำมันดิบนั้นใช้ราคาที่กลุ่ม OPEC เป็นผู้กำหนดซึ่งต้นทุนในการนำเข้าแต่ละวันนั้นไม่เท่ากัน สาเหตุเนื่องมาจากอัตราแลกเปลี่ยน ปกติแล้วการคำนวนปริมาณน้ำมันจะเผื่อสต็อกไว้ 2 เดือนค่ะ การชำระเงินค่าน้ำมันก็เป็นเครดิต 30 วัน ซึ่งทุก ๆ วันที่เราต้องจ่ายนั้น ราคาต่อ KB (กิโลบาร์เรล) เมื่อคิดเป็นเงินบาทก็ไม่เท่ากันสักวันค่ะ

โรงกลั่นในประเทศไทยมีทั้งหมด 7 โรงจริง แต่ 5 โรงเค้ากลั่นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมของเค้าเอง เช่น โรงกลั่นเชฟรอน ที่ศรีราชา กลั่นและเติม additive เข้าไปเพื่อทำน้ำมันสังเคราะห์ขายพวกเรา (เช่น น้ำมันเกียร์ น้ำมันเครื่อง ฯลฯ) โรงกลั่นไออารฺพีซี ที่ระยอง กลั่นเพื่อให้ได้สารตั้งต้นในกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติกและปิโตรเคมี

ดังนั้นโรงกลั่นที่กลั่นน้ำมันเพื่อใช้เติมเครื่องยนต์ที่เราใช้กันนั้นมีเพียง 2 แห่ง คือ บางจาก กับ ไทยออยล์ แต่การกลั่นน้ำมันดิบนั้นจะได้สารออกมาทั้งหมดประมาณ 10 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดอาจมีค่าเป็นบวกหรือลบ การกลั่นแต่ละครั้งอาจได้น้ำมันออกเทนต่ำหรือสูงไม่เท่ากันนะคะ น้ำมันออกเทนต่ำจะเป็นน้ำมันเตา ดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นน้ำมันดีเซล แต่ถ้าได้น้ำมันออกเทนสูงก็คือจะได้เบนซินค่ะ ปตท. นำเข้าน้ำมันแต่ก็ต้องเสียค่าจ้างให้โรงกลั่น 2 แห่งนี้ด้วย ซึ่งหากน้ำมันล็อตใด กลั่นได้ออกเทนต่ำ อันนั้นถือว่าขาดทุนเพราะค่าน้ำมันเตานั้น ราคาถูกกว่าราคาน้ำมันดิบที่นำเข้าอีกค่ะ (อันนี้ตอบคำถามที่ว่า ทำไมน้ำมันที่เราส่งออกราคาถูกกว่าที่ขายในประเทศนะคะ)

การตั้งราคาน้ำมัน ตั้งแต่ก่อนปี 2534 รัฐบาลโดยกรมพลังงานเป็นผู้กำหนดค่ะ แต่หลังจากปี 2534 (ปีรัฐบาลใด ไปนึกกันเอาเองนะคะ) รัฐบาลเปลี่ยนให้ราคาน้ำมันกำหนดโดยผู้ค้าเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการค้าเสรี ดังนั้น ปตท. (ในตอนนั้นยังเป็น การปิโรเลียมแห่งประเทศไทย) จึงหาสูตรว่า แล้วเราจะขายน้ำมันราคาเท่าไหร่ดี เราจึงตกลงอิงกับราคาสิงคโปร์ เพราะเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบไปกลั่นเหมือนกัน เราไม่สามารถไปเทียบราคากับมาเลเซียได้ เพราะมาเลเซียขุดน้ำมันได้เอง ออกเทนสูงด้วยค่ะ

ตอนนั้นด้วยความที่องค์กรนี้ยังเป็น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย อยู่ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ประชาชนทั่วไปไม่ได้ค้านหรือตั้งข้อสังเกตอะไรมากนัก แต่พอการปิโตรเลียม แปรรูปมาเป็น บมจ. ปตท. ปุ๊บ มีคนตั้งประเด็นนี้ขึ้นมาพูดถึงทันที คนที่จุดประเด็นขึ้นมานั้นคือคนที่ไม่ได้ประโยชน์หรือไม่ได้หุ้นจากการแปรรูปในครั้งนั้นค่ะ

เวลาที่ราคาน้ำมันโลกประกาศลดราคา ถามว่าดีไหมสำหรับ ปตท. คำตอบคือไม่เกี่ยวเลยค่ะ คือการซื้อขายน้ำมันดิบนั้น เราต้องทำสัญญาจองไว้ ปกติทำสัญญาทุก 3 เดือน ซึ่งการที่น้ำมันขึ้นหรือลดในวันนี้นั้น มันไม่เกี่ยวกับสัญญาที่เราเซ็นไปแล้วเมื่อ 3 เดือนที่แล้วไงคะ ตอนนั้นเราต้นทุนแพง แล้วต้องมาเสียค่ากลั่นอีก ให้ลดราคาตามที่ OPEC ประกาศในวันนี้นั้น ทำไม่ได้ค่ะ ถ้าทำได้คือจะประกาศลดหลังจาก OPEC ประกาศ 1 วันเพราะเราต้องคำนวนต้นทุนและปริมาณน้ำมันที่ส่งไปตามปั๊มต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วย

ปกติแล้วเวลาเราส่งน้ำมันไปตามปั๊มนั้น จะคิดราคา ณ วันที่ส่งบวกกับค่าขนส่ง ซึ่งน้ำมันที่ส่งในวันนั้น ปั๊มเค้าไม่ได้ขายได้หมดในวันนั้นเลย ถ้า ปตท. ประกาศลด หมายความว่าปั๊มก็ต้องลดตาม ซึ่งปกติแล้วปั๊มจะอยู่ได้ถ้ามีกำไรอยู่ที่ลิตรละ 40 สตางค์ค่ะ (ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเด็กปั๊ม) ดังนั้นถ้า ปตท. จะลดราคาน้ำมันสัก 40 สต. หมายความว่าปั๊มขาดทุนค่ะ ทางแก้คือบอกปั๊มว่าไว้ส่งน้ำมันคราวหน้า ปตท. จะลดราคาให้ แต่ครั้งนี้ยังไงปั๊มก็ขาดทุนค่ะ

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ประกาศนั้น จะต้องเสียภาษีและนำเข้ากองทุนน้ำมันอีก 35% นะคะ กองทุนน้ำมันนี้ เจตนาเริ่มแรกเลยเนี่ยคือการช่วยบรรเทาให้ราคาดีเซล ซึ่งเป็นน้ำมันที่สำคัญในการคมนาคม การขนส่งคนหรือเครื่องอุปโภคบริโภค เป็นน้ำมันที่ใช้ในเครื่องจักร เครื่องมือการเกษตร ฯลฯ ซึ่งถ้าราคาดีเซลถูก จะทำให้ราคาข้าวสารอาหารแห้งต่าง ๆ ถูกลงไปด้วย ดังนั้นจึงมีการตั้งกองทุนขึ้นมา โดยการหักเงินจากน้ำมันเบนซิน (ซึ่งถือว่าเป็นน้ำมันเติมรถยนต์ฟุ่มเฟือย) มาใส่ในกองทุนเพื่อนำไปจ่ายค่าน้ำมันดีเซลในช่วงที่ดีเซลสูง รัฐบาลจะพยายามให้ดีเซลราคาถูกเข้าไว้ ส่วนต่างนั้นจะเอาเงินกองทุนนี้โปะเข้าไป

แต่กลับกลายเป็นว่า พอประชาชนเห็นว่าราคาเบนซิน (ซึ่งราคาเป็นไปตามราคาตลาด) เริ่มสูงห่างจากดีเซลขึ้นทุกที ดังนั้นคนชั้นกลางหรือกระทั่งคนที่มีเงิน เริ่มหันมาใช้ดีเซลเติมรถกันมากขึ้น บางคนขับเบนซ์รุ่นดีเซล บางคนซื้อกระบะไปเลยเพื่อจะได้เติมน้ำมันถูก สิ่งที่ทำกันอยู่อย่างนี้กลับทำให้มีการใช้ดีเซลสูงขึ้น ทำให้กองทุนต้องดึงเงินไปโปะให้ดีเซลเพิ่มขึ้น เมื่อเงินกองทุนเริ่มหมด ทางเดียวที่รัฐบาลทำคือเก็บภาษีจากเบนซินเพิ่ม ซึ่งเป็นอัตราที่ ปตท. เองเกินจะรับไหวทำให้ต้องขึ้นราคาเบนซินไปอีก จนกระทั่งที่เราพูดกันนี่แหละว่าราคาน้ำมันบ้านเราแพงกว่าเพื่อนบ้าน

เรื่องผลกำไรประจำปีที่ประกาศนั้น ขอบอกว่าตัวเลข 20,000 ล้านนั้น สำหรับบริษัทมหาชนทั่ว ๆ ไปถือว่าไม่แปลกและไม่เยอะด้วยค่ะ ไม่เชื่อลองไปดูโตโยต้า ห้างสรรพสินค้าหรือธนาคารใหญ่ ๆ ดูก็ได้ว่ากำไรมันก็สูสีกันค่ะ แต่ด้วยความที่ ปตท. เองมีจำนวนพนักงานเพียง 2,000 คน จำนวนหุ้นในตลาดก็ไม่มากค่ะ (เทียบกับบ้านปูหรือไออาร์พีซี ซึงเป็นกลุ่มธรกิจเดียวกันก็ได้ค่ะ) ดังนั้นผลตอบแทนให้พนักงานและผู้ถือหุ้นมันเลยค่อนข้างสูง เพราะตัวหารมันเยอะเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่อง ปตท. ผูกขาดนั้น มันเป็นผลเนื่องมาจากการควบรวมการซื้อกิจการ เช่น เมื่อ 2 ปีที่แล้วที่ซื้อปั๊ม Jet มาจากโคนอโค ซึ่งการไปซื้อบริษัทโน้นนี้นั้น ถ้าคิดด้วยใจเป็นธรรม ไม่อคติคุณจะทราบว่าเหตุการณ์แบบนี้มันก็เหมือนที่ร้านค้าทั่ว ๆ ไปไปซื้อกิจการคนนั้นคนนี้มาบริหารนั่นแหละค่ะ จะพูดว่าเป็นการผูกขาดนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว ก็คนอื่นไม่มีเงินมาซื้อใช่ไหมคะ ดังนั้น ปตท. เค้ามีเงินซื้อ เค้าก็มาซื้อ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยค่ะ

ปัญหาน้ำมันนั้น จริง ๆ แล้วมันผูกอยู่กับการเมืองโดยแน่นหนาค่ะ ถ้าการเมือง สถาการณืในบ้านเมืองมันดีจริง ๆ แล้ว บริษัทน้ำมันต่างชาติเค้าก็อยากจะเอาน้ำมันมาขายถูก ๆ ตัดราคา ปตท. ทั้งนั้นแหละ แต่ในเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองมันเป็นแบบนี้ ใครเค้าจะกล้าเข้ามาลงทุนอีกใช่ไหมคะ

อย่างที่คุณ 69 ว่าแหละค่ะ
แล้วบทความนี้เราเห็นมีคนโพสไว้ใน manager ด้วย
และตอนนี้รัฐก็จำเป็นต้องการรายได้ โดยใช้วิธีคง/เพิ่มราคาน้ำมันไว้ ในขณะที่อย่างอื่นให้ลดราคาได้
อย่างน้อยอยากให้รู้ว่า เงินจำนวนหนึ่งก็ถูกเอาไปใช้เรื่องดีๆเหมือนกันนะ

OMG!!!!!!!!!!!!!!!!

OMGGGGGGGG!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ทำกันได้น๊ะ