-
เราว่าจะไม่ระบายแล้ว แต่ว่า มันทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ค่ะ
คือเรื่องมีอยู่ว่าเราพาลูกไปเรียนโรงเรียนหนึ่ง เป็นโรงเรียนหลักสูตร EP
ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน (มาก) ตอนนั้น เรายอมรับนะคะว่าเราอยากเข้าที่นี่
เพราะเราดูภายนอก เราคิดว่า เด็กเล็กอยากเน้นสะอาด ใกล้บ้าน
เราเลยคะยั้นคะยอให้แฟนพาไปสมัครเรียน ตอนแรกก็คัดค้านกันใหญ่
พอเรียน ๆ ไป เค้ากลับชอบ แต่เราหน่ะ พอเข้าไปคลุกคลี
ไปเห็นวิธีการสอน เห็นทุกอย่างละเอียดแล้ว เรากลับไม่ชอบ
(แต่คนอื่นอาจชอบ เพราะดูแลดีมากกก) แถมลูกก็ป่วยบ่อยอีก
เราเลยอยากย้ายลูกไปเรียนที่อื่น ตอนนี้ โรงเรียนจะปิดเทอมแล้ว
และก็มีจดหมายมาให้ไปจ่ายค่าเทอมเทอม 2 ภายในสิ้นเดือนนี้
แต่เราเอาจดหมายไปเก็บไว้ ไม่ให้ที่บ้านเห็น
พอมาวันนี้ เราเลยบอกว่าจะเอาลูกย้ายไปเรียนที่อื่นนะ
เราจะเอาไปเรียนที่อื่น (อยู่ใกล้บ้านเหมือนกัน ค่าเทอมใกล้เคียงกันด้วย)
แต่เค้าไม่ยอมจะให้เรียนที่นี่ เชอะ !! จะมีใครรู้ดีไปกว่าแม่ เราเลี้ยงมากับมือ :(
เราขอแจกแจงข้อดี และ ข้อด้อยของโรงเรียนนี้ ในความรู้สึกของเรา
ให้ฟังนะคะว่าเป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับเด็กน้อย อายุ 2 ขวบเอง
ข้อดี- ใกล้บ้าน เดินทางสะดวก (ยังไงแม่ก็ไปส่งอยู่ดีไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเค้าซักหน่อย)
- โรงเรียนสะอาด (มาก) ไฮยีน สุด ๆ ครูต้องใช้ผ้าเช็ดของเล่น ฆ่าเชื้อทุกอย่าง ทุกวัน
- ครูดูแลเด็กเยอะดี เด็ก 14 ต่อ ครู 4 คน
- โรงเรียนเน้น ธรรมมะ เน้น วัฒนธรรมไทย ลูกก็เรียบร้อยขึ้น ไหว้สวยขึ้น
- โรงเรียนเน้นวิชาการดี แข่งกับใครเค้าไม่อาย พ่อแม่ได้หน้าชัวร์ (ซึ่งใคร ๆ ก็คิดว่าเป็นข้อดี แต่............)
- ครูทุกคนโดยเฉพาะครูประจำชั้น ดีมาก เอาใจใส่ลูกดีมาก หยุดเรียนเกิน 2 วัน โทรถาม ลูกเดินชนอะไรนิดเดียว โทรรายงาน ลูกมีน้ำมูกนิดเดียว โทรมาให้รับกลับบ้าน หรือไปหาหมอ
ข้อเสีย- ไม่มีกิจกรรมกลางแจ้ง วัน ๆ เรียนแต่ในห้องสี่เหลี่ยม ซึ่งเราอยากให้ลูกวิ่งเล่น โดนแดด เหยียบดิน
- ครูชอบให้เด็กนั่งเป็นวงกลม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะนั่งตลอดคาบเรียน และลูกเราเป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่ยอมนั่งนิ่ง ๆ พอวันไหนลูกนั่งนิ่งเพราะจำยอมลูกก็จะขึ้นรถมาระบายกับพี่เลี้ยง (สงสารพี่เลี้ยงมาก)
- การบ้านเยอะมากกกกกก เด็กแค่ 2 ขวบ ให้มาสองเล่ม วิชาภาษาไทย กับคณิตศาสตร์ (อยากจะบ้า เพราะลูกไม่ทำเลย)
- เนื่องจากการบ้านเยอะ ก็มีคะแนนการบ้านอีก พ่อแม่คนอื่นเค้าทำไปส่งกันนะ แต่เรารู้มาว่าให้พี่เลี้ยงช่วยทำการบ้านให้ (ForWhat ??) ไม่มีประโยชน์ค่ะ เราเลยไม่เคยส่งการบ้าน
- แต่พอเราส่งการบ้าน โดนครูโทรมาเตือนว่า ให้ลูกทำให้เรียบร้อยด้วย เพราะมีคะแนนการบ้านค่ะ พระเจ้า !! จะเป็นไปได้อย่างไรที่เด็ก 2 ขวบ จะเขียน ก.ไก่ ตามจุดประได้เรียบร้อย ลูกเราพอจับดินสอ ก็ละเลง ทุกอย่าง (แต่พ่อแม่บางคน นั่งเอายางลบ ลบให้ลูก) พอเอาไปส่ง ครูก็ให้คะแนนดีกลับมา เพื่อ ????? เราเลยบอกครูกลับไปว่า ครูอยากเอาความจริงมั๊ยคะ นี่แหล่ะความจริง ลูกเราทำเละเทะไปหมด เพราะแกยังไม่รู้เรื่อง กล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรง และเราต้องมานั่งลบให้ลูกเพื่อ คะแนน เฮ่อ ไม่จำเป็นเลยค่ะ
- มีสมุดพก ซึ่ง เราไม่เคยแคร์เลย แต่มันเป็นตัวที่ทำให้คนที่บ้านเรา กำชับเราให้ดูแลลูกให้มากกว่านี้ เพราะคะแนนได้ 1 ทุกวิชา (Who Care ?) แค่สมุดคะแนน เด็ก 2 ขวบค่ะ ยอมไปโรงเรียน ไม่อาละวาด ก็บุญของพ่อแม่แล้วถูกต้องมั๊ยคะ
- วิชาการเกินไปมากมาก ลูกเราดูโลกได้แค่ไม่เท่าไหร่ อยากให้เค้าเรียนรู้ชีวิตจากธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ คนเราเกิดมาอย่างไร อยากให้เค้าเรียนผ่านการเล่นมากว่า นั่งท่องจำ ก.ไก่ - ฮ.นกฮูก เพื่อ ??? เค้าจะรู้มั๊ยว่าท่องไปทำไม
แต่ทุกอย่างที่พูดมา ไม่มีคนที่บ้านเห็นด้วยเลยซักคน โดยเฉพาะแฟน
เราพาเค้าไปดูโรงเรียนที่เราอยากให้เค้า เป็นแนว เล่น ๆ ๆ
ไม่อยากให้ลูกเครียด ยังไงมันก็อ่านหนังสือได้เอง คนไม่ได้เรียนหนังสือ เค้ายังอ่านออกเขียนได้ แต่ทำไมแฟนเราไม่เข้าใจ
เค้าเห็นสภาพโรงเรียนที่เราอยากให้ลูกเรียน
ก็ตัดสินว่ามันไม่ดี อย่างโน้น อย่างนี้ เผด็จการเกินไปแล้ว
เราว่า จะหนีไปสมัครเองแล้ว เซ็งมาก หรือว่าเราเป็นคนคิดไม่เหมือนคนอื่นเค้าก็ไม่รู้ แต่เราว่าแฟนเราเกินไปนิด ทีลาตัวเองเรื่องเยอะ
ทีลาลูกกลับบอกว่าให้เรียนที่ไหนก็เหมือน ๆ กัน เอาสะดวกตัวเข้าว่า
เราเลี้ยง เราอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเค้า
เราก็ว่าโรงเรียนเค้าดีนะคะ แต่เราเหนื่อยที่จะต้องเคี่ยวเข็ญลูกเรื่องวิชาการ แบบที่นโยบายโรงเรียนบอกไว้
เราก็เห็นคนจบปริญญาสูง ๆ สุดท้าย บั้นปลายชีวิตต้องการอะไร .............
สุดท้ายใครจะรู้ดีกว่า แม่ จริงมั๊ยคะ
-
เพิ่งรู้นะคะเนี่ยเด็กสมัยนี้เค้าเรียนกันขนาดนี้เลยหรอ.... ????
เรายังไม่เคยมีลูกนะแต่เท่าที่อ่านดู เราว่าบางครั้งเด็กยังไงเค้าก็เป็นเด็ก การที่ปล่อยให้เค้าได้เรียนรู้ชีวิตในวัยเด็กบ้างก็ดีนะคะ เพราะเอาความรู้ไปใส่ให้เค้ามากๆตั้งแต่แรกๆอิงว่าจะพลานให้เด็กกลัวการเรียนไปซะก่อน อันนี้อิงเห็นด้วยกะคุณแม่นะคะ แค่คุณลูกไปโรงเรียนโดยไม่ร้องไห้โยเยเท่านี้ก็ชื่นใจแล้วค่ะ.... เพราะน้องก็เพิ่ง 2ขวบเองนี่ค่ะ
ถ้าไงลองคุยกะคุณพ่อดูใหม่ไหมค่ะ ใช้เหตุผลที่ว่ามาทั้งหมด ใจเย็นๆค่อยๆคุยกัน เพราะแม่ทุกคนก็สรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกอยู่แล้วนี่ค่ะ เอาใจช่วยให้คุยกับครอบครัวได้ไวๆนะคะ... :p:p
-
อ่านดูแล้วก็เครียดแทนเหมือนกันนะคะ เ็ด็ก 2 ขวบมีการวัดเกรดแล้วเนี่ย จริงๆ โรงเรียน ep หรือ inter ที่เราหาข้อมูลมาส่วนใหญ่ จะเน้นการพัฒนาอีคิวมากกว่านะคะ โดยเฉพาะกับเด็กเล็ก เราว่าคุณลองใจเย็นๆ แล้วคุยกะคุณพ่อของน้องดูใหม่อีกทีนะคะ น่าจะดีกว่า ยิ่งทะเลาะกันไปก็ยิ่งเครียดเปล่าๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ
-
น้องฝ้าย 2 ขวบเรียนหนักขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ไหวนะ เด็กเล็กเกินจริง ๆ ควรให้เล่น ให้ฝึกพัฒนาการในวัย 2 ขวบมากกว่าเน้นเรียนนะพี่ว่า ค่อย ๆ ปรึกษากันนะกับสามี ใจเย็น ๆ เดี๋ยวก็ได้ทางออกจ๊ะ โรงเรียนไรเนี๊ยะเข้มไม่เบา
-
คุณพ่ออาจออกแนววิชาการ เน้นอ่าน-เขียน
คุณแม่ออกแนวเตรียมความพร้อม ก็เลยขัดแย้งกัน
ลองคุยกันใหม่นะคะ ว่าลูกเรายังเล็กมากเรียนเตรียมอนุบาลเอง
ไม่อยากให้เค้าเครียดเกินไป ลองเรียนที่ใหม่ดูก่อน ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวลูกขึ้นอนุบาล
แล้วเรามาคุยกันใหม่
แหะ แหะ ให้ลูกเรียนepแล้วจะเรียนต่อinterป่าวคะ
ถ้าใช่ก็ไม่เห็นต้องเน้นวิชาการขนาดน้านนนน
-
คุณพระ เด็กสองขวบต้องเรียนขนาดนี้แล้วเหรอเนี้ย :eek: เมื่ออาทิตย์ก่อน ได้ไปนั่งคุยกับเพื่อนน้องสาวและเค้าอยากให้ลูกสาว(อายุแค่สองขวบเศษตอนนี้) เข้าเรียนที่โรงเรียนสาธิต มอเกษตร เค้าเริ่มเอาลูกเค้าไปติว เพื่อที่จะได้สอบเข้าสาธิต มอเกษตรตอนอายุ เจ็ดขวบแล้วอ่ะ แม่เจ้า ทำมั้ยต้องเครียดขนาดนั้นด้วยหรือ :confused:
กรณีของน้องฝ้ายพี่เห็นด้วยเต็มๆว่า "ใครจะรู้ดีไปกว่าคนที่เป็นแม่" แต่น้องฝ้ายต้องอย่าลืมว่า "เค้าก็เป็นพ่อด้วยเหมือนกัน" พี่เคยทะเลาะกันกับคุณสามีเพราะว่าตอนนั้นลูกได้รับ คัดเลือกให้อยู่ทีมว่ายน้ำของโรงเรียน แล้วลูกสาวพี่บ่นไม่ชอบเพราะว่าเค้าซ้อมกันหนักมาก พี่ก็จะให้เค้าออกจากทีม ตอนนั้นก็ลาออกจากทีมโดยไม่ได้ปรึกษาคุณสามี ปรากฎว่าเธอโกรธมากพูดว่า "ทำอะไรทำมั้ยไม่ปรึกษานี่ก็ลูกเค้าเหมือนกันนะ" พี่ก็บอกว่าลูกไม่ชอบเพราะว่ามันซ้อมหนักมาก เค้าไม่เชื่อหาว่าพี่สปอยล์ลูก เพราะว่าเค้าเองภูมิใจมากว่าลูกได้ถูกคัดตัวอยู่ในทีมของโรงเรียน (ที่ BPS ถ้าเค้าเห็นว่าเด็กมีแววเค้าจะส่งจดหมายเชิญให้เข้าร่วมทีมโรงเรียน ซึ่งเป็นอะไรที่ พ่อกับแม่จะภูมิใจมาก ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเข้าทีมก็เข้าได้นะค่ะ) จนพี่ต้องพาเค้าไปดูช่วงซ้อมที่โรงเรียน และจนเค้าเห็นลูกว่ากลับมาบ้านแล้วแทบสลบ เลยยอมค่ะ ;)
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้พี่ว่าต้องพาเค้าไปดูว่าลูกไม่มีความสุขนะ และต้องมาคุยกันถึงเรื่องแนวทางในการเลี้ยงลูกของเราทั้งสองคนด้วยค่ะ ว่าควรจะต้องไปในทิศทางเดียวกัน ต้องค่อยๆพูดกันนะค่ะว่า อย่าลืมว่าก็ลูกเค้าเหมือนกัน อย่าได้พูดเด็ดขาดว่า "ชั้นเป็นแม่ชั้นรู้จักลูกดีกว่าคุณ" คำๆนี้แหล่ะ ที่ทำให้พี่กับสามีทะเลาะกันแทบตายเลยนะจะบอกให้ ผู้ชายเค้าคิดว่าไป Discradit เค้า หาว่าเค้าไม่มีเวลาและไม่เอาใจใส่ลูกเค้าจะรู้สึกว่าเสียหน้าค่ะ :D
ของพี่กับคุณสามีเราคุยกันแล้วว่า "ลูกเราไม่จำเป็นต้องเรียนให้ได้เกรดเฉลี่ยสูงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ หรือเป็นวิศวกร แต่เป็นอะไรก็ได้ที่ลูกรัก และชอบที่จะเป็น ที่จะสามารถเลี้ยงดูตัวเองต่อไปในอนาคตได้ค่ะ" เพราะเราเชื่อว่าถ้าเค้าเป็นในสิ่งที่เค้ารักแล้วเค้าจะทำได้ดีกว่าค่ะ ;)
-
สงสารคุณลูกจังเลย คุณลองพาลูกไปวิ่งเล่นโรงเรียนใหม่ที่คุณอยากให้ไปเรียนหรือยัง
ตอนเราหาอนุบาลให้ลูก เราพาเค้าไปด้วยทุกที่ แล้วถามเค้าว่าชอบหรือเปล่า ที่สุดท้ายที่ตัดสินใจให้ลูกเข้าเรียนนี่คือ พาลูกไป survey แล้วลูกไม่ยอมกลับบ้าน จะอยู่เล่นที่โรงเรียน เค้าสนุกมาก สนุกสุดสุด กลับมาบ้านบอกเลยว่าชอบมากออกนอกหน้า ส่วนโรงเรียนอื่น อาการคือ เฉย ๆ ไม่ดี๊ด๊า
ยิ่งพอเข้าไปเรียนแล้ว อยากไปโรงเรียนทุกวัน ไม่อยากหยุดเสาร์-อาทิตย์ โรงเรียนลูกเราเน้นเตรียมความพร้อม สนุุกอย่างเดียวเลย ตอนนี้ อ. 1 ยังไม่มีการบ้านเลยค่ะ แต่เค้าอยากอ่านหนังสือมาก ให้เราช่วยสอน ก-ฮ ให้เพิ่มเติม แล้วฝึกเขียน ก ข เอง แล้วเอามาโชว์
เราว่าสิ่งสำคัญคือ ลูกต้องแฮปปี้ แล้วความอยากเรียนรู้มันจะตามมาเองค่ะ
ขอให้คุณผ่านช่วงเวลาสำคัญนี้ไปให้ได้ เอาใจช่วยค่ะ
-
ขอบคุณทุกคำตอบนะคะ :)
ตอนนี้รอเวลาค่ะ ยังไม่คุยกันเลย ให้เค้าคิดเอง ให้เค้าเริ่มเอง
ดูซิจะจำได้มั๊ยว่าลูกจะปิดเทอมแล้ว ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง:(
-
พี่ว่า เรื่องนี้คงต้องเห็นพ้องด้วยกันทั้งคู่ค่ะ เพราะการเลี้ยงลูกไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่งเ่ท่านั้น เป็นเรื่องของทั้งพ่อและแม่ที่ต้องช่วยกันตัดสินใจ
ลองลิสต์ดูความต้องการของทั้งคู่ดูสิคะ ว่าเราต้องการอะไรให้กับลูกบ้าง คุยกัน แล้วลองหาโรงเรียนที่เหมาะกับความต้องการของเรา
ไม่มีอะไรถูก หรือผิดหรอกค่ะ :)
-
เข้ามาฟังคุณฝ้าย และ แอบคิดเยอะด้วยคน(จริงๆคิดมาตั้งแต่ตอนท้องแล้วเรื่องนี้..เพราะที่บ้านเราเด็กเยอะ เห็นว่าเค้าเรียนกันประมาณนี้จริงๆ..แต่ไม่แมกซิมัมขนาดคุณฝ้ายเล่านะคะ แต่เราก็หนักใจตั้งแต่ตอนท้องเลยล่ะ) ตกลงกันไว้กับสามีว่า ใครจะเป็นยักษ์ ใครจะเป็นนางฟ้า และทุกๆเรื่องที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับลูก เราจะตกลงปรึกษากันนอกรอบก่อน เรียกว่าเบรนสตอร์มกันเลยล่ะ ต้องทะเลาะกันก็ยอม..เพื่อที่จะการเลี้บงดูลูกจะได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน "ร้องเพลงเดียวกัน" ไม่ผิดคีย์ เชื่อว่าพ่อแม่ย่อมอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกอยู่แล้ว แต่ด้วยสภาพแวดล้อมความเหมาะสมของแต่ละครอบครัวที่ต่างกันไปย่อมมีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้างเป็นธรรมดา ยังไงอ้อขอเอาใจช่วยให้คุณฝ้ายหาข้อตกลงที่ลงตัวได้ในที่สุดนะคะ แล้วมาอัพเดทด้วยน๊าคุณฝ้าย..