23 คุลาคม 2552 "ประเทศไทยกำลังเหมือนเรือที่ผุทั้งลำ"

  1. yourfwd0
    yourfwd0



    บทความวันนี้แม้ตั้งชื่อเรื่องออกจะน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วจะเป็นบทความที่เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่วันคล้ายวันสวรรคตของพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้น ได้เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 23 ตุลาคม ศกนี้

    ที่ตั้งชื่อบทความเช่นนี้ ก็โดยนัยแห่งพระราชดำริที่สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้ทรงมีพระราชดำริวินิจฉัยสถานการณ์บ้านเมืองในยามนั้นว่าสยามในบัดนั้นผุกร่อน หากเปรียบกับเรือแล้วก็เหมือนเรือที่ผุทั้งลำ ไม่สามารถปะผุได้อีกต่อไป จะต้องซ่อมแซมเป็นการใหญ่จึงจะรักษาเรือนั้นเอาไว้ได้

    และด้วยพระบรมราชวินิจฉัยดังพระราชดำรินั้น ความเป็นสัมมาทิฐิในการปฏิรูปสยามจึงเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น และเป็นผลให้สยามในยุคนั้นเป็นยุคที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูมากที่สุด และอาจกล่าวได้ว่ารุ่งเรืองที่สุดในภูมิภาคนี้ จนเป็นที่เคารพศรัทธาถ้วนหน้ากัน

    เมื่อวันปิยมหาราชมาถึงในแต่ละปี ก็จะมีพิธีรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณทั่วราชอาณาจักร และเนื้อหาส่วนใหญ่ก็มุ่งไปที่เรื่องพระมหากรุณาธิคุณในการเลิกทาส ซึ่งความจริงเป็นเพียงส่วนเดียว แต่ก็เป็นส่วนเดียวที่ยอดเยี่ยมกว่าการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา เพราะการเลิกทาสในสยามนั้นไม่ต้องทำสงครามให้สูญเสียเลือดเนื้อคนไทยด้วยกัน

    ดังนั้นในโอกาสนี้จึงสมควรที่จะน้อมนำรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระปัญญาทัศน์อันประเสริฐของพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นในแง่มุมอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากการเลิกทาสให้เป็นเรื่องเป็นราวสักครั้งหนึ่ง

    ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการตั้งสัมมาทิฐิในการปฏิรูปสยามก่อน นั่นคือพระบรมราชวินิจฉัยที่สอดคล้องถูกตรงกับสถานการณ์บ้านเมือง ว่าสยามยามนั้นไม่อยู่ในภาวะปกติ มีความชำรุดทรุดโทรมประดุจดั่งเรือที่ผุทั้งลำแล้ว จึงต้องซ่อมแซมครั้งใหญ่ หาไม่แล้วก็จะรักษาชาติบ้านเมืองไว้ไม่ได้

    เมื่อทรงตั้งสัมมาทิฐิดังนั้นแล้ว การปฏิรูปสยามครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นตลอดรัชสมัย และเป็นผลให้สยามเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูโดดเด่นเป็นหนึ่งอยู่ในภูมิภาคนี้

    พระปิยมหาราชเจ้าพระองค์นั้นทรงประกอบพระราชกรณียกิจใดบ้างที่เป็นนัยหรือเนื้อหาสำคัญในการพลิกฟื้นสยาม จากสภาพเรือผุทั้งลำ จนกลายเป็นประเทศที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูแห่งภูมิภาค ที่สำคัญเห็นจะมีดังต่อไปนี้

    ประการแรก พระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพที่ทรงแปรวิกฤตเป็นโอกาสได้สำเร็จอย่างยอดเยี่ยม

    สยามขณะนั้นอยู่ภายใต้บังคับของสัญญาเบาริ่ง ซึ่งมีสาระใหญ่ 3 เรื่อง คือต้องยกเลิกการผูกขาดค้าข้าว ต้องจัดเก็บภาษีอย่างเป็นระบบ และให้บรรดาคดีพิพาทระหว่างชาวสยามกับต่างชาติต้องขึ้นศาลโพลิสต์สภา หรือศาลของต่างชาติ นับเป็นวิกฤตใหญ่หลวงของชาติที่เปรียบได้ว่าได้สูญเสียเอกราชอธิปไตยไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว

    แต่ด้วยพระปรีชาสามารถ วิกฤตทั้งหลายกลับกลายเป็นโอกาสหมดสิ้น จากการถูกบังคับให้ยกเลิกการผูกขาดการค้าข้าว ทรงแปรสยามให้เป็นประเทศเปิดเสรีค้าข้าว ทำให้การค้ารุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้น ทำรายได้ให้ประเทศจำนวนมหาศาล ทำให้การค้าต่างประเทศขยายตัวออกไป ส่งผลให้เกิดกิจการอุตสาหกรรมและการพัฒนาการคมนาคมและการสื่อสารครั้งใหญ่

    จากการถูกบังคับให้จัดเก็บภาษีอย่างเป็นระบบ ทรงแปรวิกฤตด้วยการปรับระบบการเงิน การคลัง และภาษีอากรครั้งใหญ่ของประเทศ จัดตั้งหน่วยงานทำหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะ ทั้งการเงิน การคลัง การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และระบบการจัดเก็บภาษี ทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มพูนขึ้น จนกล่าวได้ว่ามีเงินล้นท้องพระคลังหลวง ค่าเงินบาทแข็งแกร่ง มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 บาทต่อ 2 ปอนด์สเตอริง

    จากการถูกบังคับให้คดีพิพาทระหว่างคนสยามกับต่างชาติต้องขึ้นศาลโพลิสต์สภา เป็นเหตุให้ทรงส่งเสริมการปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่สุดของประเทศ นำพาสยามเข้าสู่ระบอบนิติรัฐเป็นประเทศแรกในเอเชียอาคเนย์นี้ ทำให้กฎหมายเริ่มเป็นระบบเป็นครั้งแรก และจัดระบบศาลอย่างเป็นระบบเป็นครั้งแรก และในที่สุดก็ต้องยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้น

    จากการแปรวิกฤตเป็นโอกาส จึงทำให้กลายเป็นพลังผลักดันและขับเคลื่อนการพัฒนาและการปฏิรูปสยามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เจริญรุ่งเรืองถึงขั้นสูงสุด
    ประการที่สอง ทรงกำหนดแนวทางหรือทิศทางพัฒนาสยามขึ้นเป็นครั้งแรกโดยไม่ต้องมีสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นทิศทางนำพาชาติที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของสยาม ไม่ฝันเฟื่องเรื่องในอากาศเหมือนคนบ้ากัญชาอย่างนักวิชาการบางพวกในยุคปัจจุบัน

    หลังจากเสด็จนิวัติกลับจากยุโรปแล้ว ทรงมีพระราชดำริว่ายุโรปกำลังเจริญก้าวหน้าเพราะได้พัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปก่อนหน้านั้นร่วม 150 ปี แต่สยามไม่สามารถเดินหนทางอุตสาหกรรมได้ เพราะไม่มีปัจจัยพื้นฐานแทบทั้งหมด และเนื่องจากพื้นฐานของสยามนั้นเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่ทรงเห็นว่าไม่มีประเทศใดที่จะมั่งคั่งได้เพราะการเป็นประเทศเกษตรกรรมธรรมชาติ จึงทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่าทิศทางพัฒนาสยามจะต้องเป็นการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร หรือนัยหนึ่งก็คือเกษตรอุตสาหกรรม นี่คือแนวทางที่หนึ่ง

    และอีกแนวทางหนึ่งนั้นทรงเห็นว่า สยามเป็นแหล่งอารยธรรมและวัฒนธรรมที่งดงามและยิ่งใหญ่ ทั้งชาวสยามก็มีน้ำใจโอบอ้อมอารี มีความเป็นมิตรกับทุกผู้ เป็นพื้นฐานของภาคบริการ จึงทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่าการอำนวยความสะดวกในทางบริการแก่ต่างชาติจะเป็นหนทางของความเจริญรุ่งเรืองอีกทางหนึ่ง หรือถ้าเป็นปัจจุบันก็คือทิศทางพัฒนาชาติเป็นอุตสาหกรรมบริการนั่นเอง

    เพราะเหตุนั้นการจัดตั้งระบบโทรคมนาคม กิจการโรงแรม และการฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น และด้วยสองทิศทางพัฒนาสยามนี้ก็ได้นำพาสยามไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งที่สุดในภูมิภาค

    ประการที่สาม การกำหนดยุทธศาสตร์การคมนาคมให้ใช้รถไฟเป็นหลักของการคมนาคมทางบก เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ การค้าและประโยชน์สุขของมหาชน

    ทรงมีพระราชดำริเห็นว่าสยามยังล้าหลังในทุกด้าน เพราะประชาชนไม่สามารถไปมาหาสู่ถึงกันได้ ไม่สามารถทำมาค้าขายทางไกลได้ด้วยความสะดวกรวดเร็ว และการปกครองก็ไม่สามารถเป็นไปโดยทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องปฏิรูปการคมนาคมครั้งใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นก็มีแต่การคมนาคมทางน้ำซึ่งใช้เรือเป็นพื้น และทางบกซึ่งใช้ช้างม้าเป็นพื้น

    ทรงพัฒนาถนนหนทาง แต่ก็ทรงเห็นว่าการคมนาคมที่จะเป็นหลักในการพัฒนาสยามให้เจริญรุ่งเรืองและเป็นประโยชน์สุขแก่ราษฎรก็คือรถไฟ จึงทรงสถาปนาการรถไฟขึ้น และเร่งสร้างรางและการเดินรถไฟอย่างจริงจังตลอดรัชกาล

    ทรงมีพระราชดำริว่าเป็นการยากที่การรถไฟซึ่งเป็นบริการสาธารณะจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ เพื่อประกันให้พสกนิกรในอนาคตเข้าถึงบริการได้โดยสะดวกและเสียค่าใช้จ่ายไม่สูง จึงทรงพระราชทานที่ดินสองข้างทางรถไฟข้างละ 4-10 เส้น และพระราชทานที่ดินสำหรับให้รถไฟจัดทำประโยชน์หรือจัดหาประโยชน์ คิดเป็นเนื้อที่กว่า 400,000 ไร่ ทางรถไฟไปถึงไหน ตั้งสถานีถึงนั่น ก็ทรงมุ่งให้สถานีรถไฟเป็นศูนย์การพาณิชย์ของแต่ละพื้นที่ นั่นก็คือการริเริ่มสร้างกิจการพาณิชย์ขึ้นในขอบเขตทั่วประเทศของสยามเป็นครั้งแรกนั่นเอง

    แต่เพราะนักวิชาการใจโฉดและโง่งมตามก้นฝรั่งได้เลิกล้มพระบรมราโชบายนี้เสียในภายหลัง เปลี่ยนเป็นให้รถยนต์เป็นหลักในการคมนาคมทางบก จึงต้องสร้างถนนหนทางเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง จนคนไทยเป็นหนี้ค่ารถยนต์กันทั้งประเทศ และประเทศก็ต้องจ่ายค่าน้ำมันจนสูงเป็นรายจ่ายลำดับหนึ่งของประเทศไปแล้ว และจะนำความพินาศย่อยยับมาให้คนไทยทั้งประเทศในอนาคตอันไม่ไกลนัก

    ประการที่สี่ การพระราชทานเอกสารสิทธิ์ในรูปโฉนดที่ดินแก่ราษฎร เพื่อความมีฐานะและความมั่งคั่งของราษฎรและราชอาณาจักร

    หลังจากเสด็จนิวัติกลับจากยุโรปแล้ว ทรงมีพระราชดำริเห็นว่าชาวยุโรปมีความมั่งคั่งก็เพราะมีเรียลเอสเตท หรือเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ ทุนรอนและแสดงความมั่งคั่งของราษฎรได้ แต่ชาวสยามไม่มี จึงเป็นเหตุของความยากจน ขาดแคลนและล้าหลัง จึงทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่าการจะสร้างความมั่งคั่งให้แก่สยามและราษฎรจะต้องออกเอกสารสิทธิ์คือโฉนดที่ดินแก่สับเยกสยามโดยถ้วนหน้า

    โฉนดที่ดินฉบับแรกได้พระราชทานที่จังหวัดอยุธยา และทรงเร่งรัดพระราชทานโฉนดที่ดินแก่ราษฎรตลอดรัชกาล นับถึงวันนี้แผ่นดินประเทศไทย 320 ล้านไร่ ได้ออกเอกสารสิทธิ์ไปแล้ว 120 ล้านไร่ เหลืออีก 200 ล้านไร่ ซึ่งจะต้องกันไว้สำหรับรัฐ 100 ล้านไร่ คงเหลืออีก 100 ล้านไร่ ยังไม่ได้ออกเอกสารสิทธิ์ แต่หน่วยงานของรัฐ 7 หน่วยงานเข้าไปยึดครองไว้หมดสิ้น

    ในเนื้อที่อันจำกัดนี้จึงขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระปัญญาคุณในพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นด้วยพระราชกรณียกิจสี่ประการสำคัญ เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพศรัทธาของมหาชนชาวไทยในการรำลึกถึงพระองค์ท่านในวันนี้.



    ขอบคุณบทความ ประเทศไทยกำลังเหมือนเรือที่ผุทั้งลำ ของคุณ สิริอัญญา
    จากลิงค์ http://www.manager.co.th/Daily/ViewN...=9520000126107
    ขอบคุณภาพจากลิงค์ http://forum.thaidvd.net/lofiversion.../t85984-0.html



    สังคมที่ไร้มุทิตา...
    คือ สังคม ที่ คนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่า ใครคือคนที่ทำให้

    เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนควรต้องมีหัวใจ
    สังคมนี้ แผ่นดินนี้ คงอยู่ ให้เรา อาศัย อยู่ร่วมกัน ได้ต่อไป
    "ผู้เสียสละทุกคน ที่ตาย ล้วนมีชีวิต และเรา ติดหนี้บุญคุณ"
    ขอบคุณใน ความเสียสละ ที่ทำให้เรา ได้อาศัยอยู่ร่วมกัน

    เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนควรต้องมีหัวใจ
    ด้วยความเคารพในความเสียสละ อย่างสูงยิ่ง
    ประเทศใคร.. ในหนึ่งวัน<Click>


    ความเห็นแก่ตัว ทำให้ คน โง่ ขึ้น
  2. bookerian
    bookerian
    ขอบคุณค่ะ ขอส่งต่อค่ะ
  3. itasian
    itasian
    ขอบคุณ คุณ yourfwd ครับ
    อยากใหุ้ทุกคนไ้ด้อ่าน ครับ ขอส่งต่อครับ
  4. IAm
    IAm
    23 ตุลาคม วันปิยมหาราช เป็นวันที่ให้เราได้ระลึกถึง รัชกาลที่ 5
    ฉัน.....ไม่เคยระลึกถึงท่าน รู้แค่ว่า... เป็นวันหยุด ไม่ต้องทำงาน ได้พักผ่อน ไปเที่ยว
    หลังจากได้อ่านบทความนี้ ทำให้ได้รู้ว่า
    ทำไม...ต้องมีวันนี้
    ทำไม...เราควรระลึกถึงท่าน
    รู้สึกจริงค่ะ ที่คุณyourfwd ได้บอกไว้ใน กระทู้เพลง(ของ)ชาติไทย... ที่ผมฟัง ที่ว่า
    ประเทศชาติ ที่เป็นอยู่มาได้ทุกวันนี้ ไม่ได้ ด้วยความบังเอิญ
    ขอบคุณค่ะ

    ขอนำไปส่งต่อค่ะ
  5. yourfwd
    yourfwd
    มาระลึกถึงพระองค์ท่าน และสำนึกถึงงานที่พระองค์ท่านและพระราชวงศ์จักรี ทรงเสียสละทำเพื่อพวกเราตลอดมา
    และงานของทุกพระองค์ท่านกำลัง ช่วยเราบรรเทาและป้องกัน น้ำท่วมเข้าเมืองหลวงของเรา

    ...อีกไม่วันข้างหน้า ทัพหลวงของมวลน้ำจะบุกมาถึงเกาะรัตนโกสินทร์ หนทางเอาจะชนะกองทัพน้ำของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นคือ การผลักดันน้ำออกสู่ทะเลในสองทิศทาง

    ฝั่งทิศตะวันออก ระบายน้ำลงสู่คลองระพีพัฒน์ คลองแสนแสบ คลองพระองค์เจ้าไชยยานุชิต คลองนครเนื่องเขต คลองประเวศบุรีรมย์ คลองลาดกระบัง และคลองบางโฉลง

    ส่วนฝั่งตะวันตก ก็ผันลงแม่น้ำท่าจีน ผ่านคลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญ คลองทวีวัฒนา คลองงิ้วราย คลองพระยาบันลือ คลองมหาชัย คลองสหกรณ์ คลองทรงคนอง และคลองท่าข้าม

    คลองขุดดังกล่าวนี้ มีอายุกว่าร้อยปี และคลองส่วนใหญ่ขุดในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

    "การขุดคลองเพื่อจะให้เป็นที่มหาชนทั้งปวงได้ไปมาอาศัย และเป็นทางที่จะให้สินค้าได้บรรทุกไปมาโดยสะดวก ซึ่งให้ผลแก่การเรือกสวนไร่นา ซึ่งจะได้เกิดทวีขึ้นในพระราชอาณาจักร เป็นการอุดหนุนการเพาะปลูกในบ้านในเมืองให้วัฒนาเจริญขึ้น" (ประกาศเรื่องอนุญาตขุดคลอง ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5)...


    สรุปว่าคลองโบราณอายุร้อยปี ทั้งฝั่งตะวันตก ฝั่งตะวันออก กำลังช่วยคนกรุงให้รอดพ้นจากมหาอุทกภัยใน พ.ศ.นี้
    จากบทความ มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์


    ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระราชกรณียกิจที่ผ่านมาของราชวงศ์จักรีทุกพระองค์
  6. iDnOuSe4
    iDnOuSe4
    ขอบคุณมากครับ
Results 1 to 6 of 6