กลูต้าไทโอน อันตรายจริงหรือ ?? (อยากให้เข้ามาอ่านกันคะ บทความดีๆ ไม่อ่านแล้วจะเสียใจ+เสียดายไม่รู้ด้วยน๊า)

  1. s
    s
    อ่านให้จบนะคะ ได้ความรู้มากมายเลยค่ะ บางครั้งการที่เราอ่านอะไรๆ โดย ขาดการวิเคราห์หาข้อเท็จจริงเราอาจจะรับข้อมูลเหล่านั้นไปในทางที่ผิดๆก็ได้ บทความนี้คือการวิเคราห์ค่ะ วิเคราห์จากข้อมูลหลายๆที่และหลายๆด้านอย่างมีเหตุผล และส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่นั้นก็ล้วนแล้วแต่การพิจารณาค่ะ

    กลูต้าไทโอน อันตรายจริงหรือ ??
    ในปัจจุบัน สารอาหารที่ชื่อ "กลูต้าไทโอน" เป็นสารอาหารที่ทุกๆคน รู้จักกันว่า เป็นสารอาหารที่ช่วยให้ ผิวขาว อมชมพู ลดรอยด่างดำ และสารอาหารตัวนี้ ก็เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้หญิงจำนวนมาก ที่ต้องการให้ผิวขาว

    หลังจากจากที่ "กลูต้าไทโอน" เริ่มเป็นที่นิยม รู้จักและใช้กันอย่างกว้างขวาง และแพร่หลายนั้น ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพหลายๆท่าน ก็ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับสารอาหารตัวนี้อย่างมากมาย ทั้งในมุมมองที่ดี และไม่ดีเกี่ยวกับสารอาหารตัวนี้

    ต่อมา คำถามที่เกิดขึ้นในใจ ของผู้ที่กำลังสนใจ หรือกำลังบริโภค "กลูต้าไทโอน" อยู่นั้นคือ "อะไรคือ ความจริงที่เกี่ยวกับกลูต้าไทโอน ที่เพียงพอจะใช้ตัดสินใจ ในการเลือก บริโภคหรือไม่ ได้"

    ในฐานะคนคนหนึ่ง ที่มีความสนใจในสารอาหารตัวนี้ เพราะเราเองก็ยอมรับตรงๆ ว่า "อยากผิวขาว อยากสวย" แต่กลัวค่ะ กลัวมากๆ ถ้าต้องนำสิ่งแปลกปลอมที่เราไม่รู้จัก เข้าไปในร่างกาย สิ่งแปลกปลอมที่เราไม่รู้จริงๆว่า จะเข้าไปทำอะไรกับร่างกายเราบ้าง ทั้งกลัว และสับสน สับสนกับข้อมูลที่มีมากมายและหลายแง่มุม เกี่ยวกับ "กลูต้าไทโอน"

    ดังนั้น เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องพยายามแยกแยะข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่สุด (ยังการันตีไม่ได้นะคะ ว่าเป็นความจริง แต่เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้มากที่สุด ที่เราพอจะหาได้) ออกจาก ข้อมูลที่หลากหลาย จนเพียงพอ ที่จะตัดสินใจที่จะเลือกว่าจะ บริโภค กลูต้าไทโอน หรือไม่ ซึ่ง ข้อมูลอ้างอิง และตรรกะ ที่พยายามแยกข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่สุด ออกจากข้อมูลที่หลากหลาย เรานำมาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ และพิจารณา ดังนี้ค่ะ (โปรดใช้วิจารณญาณ ในการพิจารณาตามนะคะ)

    เราใช้วิธีการเข้าไปในอินเตอร์เน็ต แล้วหาบทความหลายๆบทความมาอ่าน และพยายามสืบหาข้อมูลที่เป็นจุดตัดสินใจ เลือกบริโภคกลูต้าไทโอน ให้ถึงที่สุด เพื่อการตัดสินใจค่ะ โดยบทความที่เราอ่าน ก็มีทัศนคติ ที่บวกบ้าง ทัศนคติ ที่ลบบ้าง กับกลูต้าไทโอน ซึ่งเป็นเรื่องปกติค่ะ เราไม่ได้ตัดสินนะคะ ว่าจะเชื่อ บทความที่มีทัศนคติ เป็นบวก หรือ ลบ แต่เราจำเป็นต้องมองทัศนคติของบทความให้ออก จึงจะแยกแยะ ข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่สุด ที่ไม่ขึ้นกับทัศนคติ ของแต่ละบทความได้ค่ะ
  2. s
    s
    ผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤศจิกายน 2550 15:06 น.
    ศ.ดร.นพ. ปิติ พลังวชิรา
    Ph.D. (Dermatology), วุฒิบัตรตจวิทยา (แพทยสภา),
    American board of Anti-Aging Medicine

    ศ.ดร.นพ. ปิติ พลังวชิรา ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระบุสารกลูต้าไทโอนไม่ใช่สารพิษที่ประชาชนหลายคนเข้าใจตามกระแสข่าวที่เกิด ขึ้นในระย​ะนี้ ทั้งยังเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล และยังเป็นตัวขจัดข้อเสียหรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ฝากถึงนักวิจัยที่ทำงานด้านยาหรือการรักษา หากต้องการใช้ยาประเภทกลูต้าไทโอน ควรจะได้ทำการวิจัยให้จริงจัง
    ศ.นพ.ปิติ พลังวชิรา ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงสารกลูตาไทโอน (glutathione) ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่ดีกับสารตัวนี้ คนจำนวนมากเข้าใจพิษคิดว่าสารตัวนี้เป็นสารพิษ ซึ่งในความเป็นจริงสารกลูตาไทโอนสารแอนติออกซิเดนซ์ หรือสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ร่างกายมนุษย์จะได้รับสารชนิดนี้จากการบริโภคอาหารประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผลไม้ประเภท อะโวคาโด และจะถูกเก็บไว้ที่ตับ
    ทั้งนี้ สารกลูตาไทโอนนี้ เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล โดยเฉพาะเมื่อร่างกายต้องรับสารอนุมูลอิสระเข้าไป สารต้านอนุมูลอิสระก็จะช่วยปรับให้สภาพร่างกายเกิดความสมดุล และยังเป็นตัวขจัดข้อเสีย หรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ตั้งแต่สารปรอท ยาฆ่าแมลง หรือยาบางชนิดที่เราต้องกินเข้าไป และเหลือตกค้าง ตับจะทำหน้าที่ขับสารพิษออกมาโดยสารกลูต้าไทโอนมีบทบาทสำคัญ
    ดังนั้น จึงอยากทำความเข้าใจว่า ยาที่มีส่วนส่วนประกอบของกลูตาไทโอนไม่ได้น่ากลัว ยาที่อยู่ในกลุ่มของยากินนั้นในต่างประเทศมีขายอยู่ตามร้านขายยาทั่วๆ ไป ในเมืองไทยสารกลูตาไทยโอนอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ แต่ยาที่อยู่ในรูปของการฉีด เพื่อรักษาฝ้านั้นในเมืองไทยยังไม่มีการวิจัย จึงอยากฝากถึงนักวิจัยที่ทำงานด้านยาหรือการรักษา หากต้องการใช้ยาประเภทกลูต้าไทยโอน ควรจะได้ทำการวิจัยให้จริงจัง
    “ระดับกลูตาไทโอนของคนที่ป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคทางสมอง อย่างพากินซัน โรคหัวใจบางชนิดหรือบางคนกินยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอลบ่อยๆ ความเครียด หรือคนที่ได้รับสารพิษบ่อยๆ ระดับกลูต้าไทโอนจะลดลง การกินยาที่มีสารประเภทกลูต้าไทโอนจะถูกซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยกว่าการฉีด ซึ่งทำให้ผู้ที่ใช้ยาประเภทนี้นิยมฉีดและที่สำคัญ ต้องฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ นอกจากฉีดเข้าเส้นแล้วยังสามารถฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือใช้สูดดมได้อีกด้วยขึ้นอยู่กับโรคในแต่ละโรคว่าเหมาะกับการใช้ยาชนิดนี้ ด้วยวิธี​การไหน
    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยากลูตาไทโอนที่ใช้ในการรักษาฝ้านั้น ยังถือว่าผิดกฎหมาย เพราะการนำเข้ายาประเภทนี้เข้ามายังไม่ได้ขึ้นทะเบียน อย.และหากจะใช้ยาชนิดนี้เพื่อรักษาฝ้าควรจะนำเข้ามาให้ถูกกฎหมายและขึ้น ทะเบียนยาให้ถูก​ต้องด้วย ถ้าต้องนำมาใช้ในการรักษาฝ้าควรจะมีการค้นคว้าวิจัย ซึ่งคนที่เป็นฝ้าจำนวนมากพอใจกับการรักษาด้วยยา กลูต้าไทโอน เนื่องจากกลูต้าไทโอนจะไปเปลี่ยนยูเมลานินซึ่งเป็นสีผิวที่คล้ำ ให้กลายเป็นฟีโอเมลานิน ซึ่งจะทำให้สีผิวจางหรือขาวขึ้น

    จาก http://www.jaideeclinic.com/index.php-la...274552.htm

    หลังจากที่เราะได้ ขอบเขตของข้อมูล ส่งผลต่อการตัดสินใจ เราเลยขอเลือกพิจารณาเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องนะคะ ที่เหลือตัดทิ้งก่อนค่ะ

    บทความนี้ มีทัศนคติ บวก กับสารอาหารกลูต้าไทโอนค่ะ ซึ่ง ข้อมูลที่ได้จากบทความนี้ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ มีดังนี้ค่ะ

    - กลูต้าไทโอน ช่วยร่างกายในการต้านอนุมูลอิสระ และช่วยตับในการขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย
    - กลูต้าไทโอน มีฟังชั่นในการเปลี่ยนชนิดของเมลานิน ซึ่งเปลี่ยนจากชนิดที่มีสีคล้ำ ให้เป็น ชนิดที่มีสีขาว
    - กลูต้าไทโอน แบบทานนั้น สามารถดูดซึมได้ น้อยกว่าการฉีด
    - กลูต้าไทโอน แบบฉีดนั้น ปัจจุบัน มีคนนำมารักษาฝ้าในเมืองไทย แต่งานวิจัยยังไม่พอ และ อย. เองก็ยังไม่ได้รับรอง การนำเข้าก็ยังผิดกฏหมาย
  3. s
    s
    เกล็ดความรู้ กลูต้าไทโอน นะ

    Glutathione (กลูตาไทโอน) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ตัวหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง เกิดจากการจับตัวกันในรูปแบบ Tri-peptides ของกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine,Glycine และ Glutamic acid โดยมีหน้าที่หลักๆ สำคัญดังต่อไปนี้
    หน้าที่หลัก มีอยู่ 3 ประการ1 คือ
    1. การขจัดสารพิษ (Detoxification): กลูตาไทโอนช่วยสร้างเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย
    โดยเฉพาะ Glutathione-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
    2. ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Antioxidant): กลูตาไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยา
    ออกซิเดชัน (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
    3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Immune Enhancer): ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้​อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้ กลูตาไทโอนยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ prostaglandin


    นอกจากนี้ยังทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ โดยอาศัยกลไกการทำงานที่มีคุณสมบัติในการไปยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase ทำให้ Tyrosine ไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็น Dopaquinone เป็นสารต้นแบบของ Dopachrome, Eumelanin (ซึ่งกลุ่มนี้เป็นสารที่ทำสีผิวคล้ำ) แต่ไปเพิ่มการสร้างเม็ดสีชนิดสีอ่อน ซึ่งเรียกว่า Phaeomelanin ในปริมาณมากขึ้น แทนการสร้างเม็ดสีชนิดสีเข้ม ที่เรียกว่า Eumelanin แต่ถือเป็นผลทางอ้อม เป็นการนำผลข้างเคียงมาใช้ ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของกลูตาไทโอนโดยตรง และยังไม่พบว่ามีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันชัดเจน ขณะที่สารดังกล่าวก็มีอยู่ในธรรมชาติจากการบริโภคอาหารอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเนื้อสัตว์ ผลไม้ เช่น อโวคาโด หากรับประทานอาหารในแต่ละวันอย่างหลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ก็เพียงพออยู่แล้ว


    นศภ.ดิษยา วัฒนาไพศาล/รศ.ดร.วันทนา เหรียญมงคล ชนิดและขนาดรับประทาน:
    ปัจจุบันกลูตาไทโอนมีวางจำหน่ายในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ดหรือแคปซูล ชนิดพ่น ชนิดฉีดเข้าเส้นและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ป่วยโรคต่างๆ ที่ตรวจพบว่ามีการขาดสารนี้ควรใช้ตามแพทย์แนะนำ ในแง่ของการป้องกัน หรือเพื่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน ขนาดที่รับประทานคือ 500-1000 มก.ต่อวัน1 สำหรับการใช้เป็น skin whitener ควรใช้ขนาด 20-40 มก./กิโลกรัม/วัน โดยแบ่งให้วันละ 2-3 ครั้ง


    ส่วนที่ผลิตออกมาในรูปของอาหารเสริม หรือกลุ่มยาฉีด ที่ช่วยปรับสีผิวให้ขาวทั้งตัว ที่มีการนำออกมาจำหน่ายในท้องตลาด ก็จะเป็น Glutathione , Vit C และสารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส โดยมีรายละเอียดดังนี้


    1.ในรูปของอาหารเสริม Glutathione มักจะไม่มีวางจำหน่ายเดี่ยวๆ มักจะผสมในรูปของอาหารเสริมที่ประกอบด้วยวิตามินซี และสารสกัดจากเปลือกสน เพื่อสะดวกในการรับประทาน โดยพบว่าขนาดยาที่แนะนำให้รับประทานที่เหมาะสม และทำให้สีผิวขาวทั้งตัวได้ คือ ปริมาณGlutathione 500 มก.ต่อวัน + Vit. C 3,000 มก.ต่อวัน โดยมีรายงานวิจัย พบว่า glutathione ควรแบ่งกินขนาด 250 mg เช้า - เย็น หลังอาหาร โดยจะให้ผลในเรื่องการดูดซึมที่ดี และถ้าจะให้ได้ผลดีในการกระตุ้นระดับ Glutathione ในร่างกายให้สูงขึ้น ควรจะทานควบคู่กับวิตามินซี โดยการแบ่งเวลารับประทานให้สะดวกและใกล้เคียงกัน (ส่วนการกิน vit E ร่วมด้วยก็จะไปช่วยให้ vit c ทำงานดีขึ้น) พบว่าหลังรับประทานจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงภายใน 3-4 เดือน แต่ควรจะรับประทานต่อเนื่อง เพราะผลที่ได้ไม่ถาวร เนื่องจากปัจจัยการเปลี่ยนสีผิว ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ ทั้งภายในร่างกายเอง หรือภายนอกร่างกาย เช่น แสงแดด เป็นต้น ซึ่งยังไม่พบรายงานผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยาระหว่างยาของกลูตาไทโอนชนิดรับ ประทาน


    2. ในรูปของยาฉีด ซึ่งปัจจุบันมีการนำ Glutathione 600 มก. (4 ซีซี) มาผสมกับวิตามินซี 2 ซีซี นำมาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้ากล้าม พบว่าจะทำให้ได้ผลในเรื่องสีผิวได้เร็วขึ้น ภายใน 1-2 เดือน โดยนำมาฉีดทุกอาทิตย์ การฉีดทั้งสองวิธี จะได้ผลพอๆ กัน แต่นิยมฉีดเข้าเส้นเลือดมากกว่า เพราะไม่ค่อยเจ็บมากนัก แต่ในรายที่เส้นเลือดเปราะบาง หรือหาเส้นเลือดยาก อาจจะใช้วิธีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (สะโพก) แทน ซึ่งจะเจ็บมากกว่า


    อย่างไรก็ตามในประเทศไทย สารกลูตาไทโอนที่ผ่านการรับรองจาก อย.นั้น เป็นเพียงการอนุญาตให้ใช้ในรูปแบบกรดอะมิโน ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อใช้กินร่วมกับวิตามินเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายเท่านั้น5 แต่ไม่มีการขึ้นทะเบียนตำรับยา ไม่อนุญาตให้เป็นยาเดี่ยวหรือยาฉีดเข้าร่างกายและไม่มีการนำเข้ามาในประเทศ ไทย โดยบริษัท โรช (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาดังกล่าวได้แจ้งให้ อย.ทราบว่าไม่มีการนำเข้ามาในประเทศเช่นกัน ยาที่มีจำหน่ายอยู่อาจเป็นยาปลอม6นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังไม่รับรองผลความปลอดภัยในการใช้สารกลูตาไทโอนฉีดเข้าเส้นเลือดดำและไม่ เคยมีผลรับ​รองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ ดังนั้น จึงไม่ทราบปริมาณที่เหมาะสมในการฉีดเข้าร่างกาย จะสะสมเกิดพิษหรือเกิดผลข้างเคียงทำอันตรายให้ร่างกายในอนาคตอย่างไร แม้ว่าในประเทศอิตาลีจะมีการขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตถูกต้องแต่เป็นใช้ สารดังกล่า​วในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะ อาหารเท่านั้น ส่วนการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้นถือเป็นเพียงผลข้างเคียง


    ซึ่งกลูตาไทโอนที่ใช้ในการรักษาโรคนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ แบบสูดพ่น ฉีดเข้ากล้าม และฉีดเข้าหลอดเลือดดำ โดยใช้ในการรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดจากการขาดธาตุเหล็กภาวะแทรกซ้อน จากการผ่​าตัดในผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่มี fibrosis ที่ปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือใช้ร่วมกับยา cisplatin เพื่อป้องกันพิษต่อสมอง เป็นต้น โดยยังไม่มีรายงานอาการข้างเคียงรุนแรง มีเพียง Cutaneous eruptions ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น9 นอกจากนี้การที่ผิวขาวขึ้นนั้นเป็นเพียงผลข้างเคียงของการรักษาเท่านั้น8 ไม่เคยมีข้อมูลทางการแพทย์ว่าการฉีดสารกลูตาไทโอนจะแก้ผิวดำได้อย่างถาวร หากนำสารกลูตาไทโอนมาฉีดเข้าร่างกาย โดยหวังผลให้ผิวขาวต้องใช้ยาในปริมาณที่สูงมากเพื่อให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีขาว ได้ ซึ่งจะมีอันตรายทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย เพราะเซลล์สีถูกกดจากสารที่ฉีดก็จะสร้างเม็ดสีน้อยลง โดยเม็ดสีมีความจำเป็นในการป้องกันอันตรายจากแสงอัลตราไวโอเลต และเป็นองค์ประกอบสำคัญของจอตาในลูกตา การฉีดยาที่มีผลให้เม็ดสีลดลงส่งผลกระทบต่อจอตาและการรับแสงโดยตรง และเมื่อลดกระบวนการป้องกันอันตรายจากแสงอัตราไวโอเลต เซลล์ก็จะเสื่อมเร็วขึ้น ผิวขาวมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง ที่สำคัญคือการฉีดสารชนิดนี้เข้าเส้นเลือดดำโดยตรงในปริมาณมากถือเป็นเรื่อง อันตรายม​าก คนไข้อาจช็อกตายขณะฉีดได้ ซึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นมีรายงานเกี่ยวกับผู้แพ้ยาฉีด กลูตาไทโอนอย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งอันตรายขนาดเสียชีวิตได้ทันที หากแพทย์ไม่มีอุปกรณ์กู้ชีพเตรียมพร้อมไว้8

    ลองศึกษากันดูก่อนนะ เผื่อมันจะมีทั้งผลดีผลเสีย

    ที่มา นศภ.ดิษยา วัฒนาไพศาล/รศ.ดร.วันทนา เหรียญมงคล
    จาก http://mornor.com/2009/forum/archiver/?tid-14189.html


    บทความนี้ จากที่อ่าน มีทัศนคติกลางๆ แบบให้ข้อมูลค่ะ ซึ่งข้อมูลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ที่ได้เพิ่มเตม มีดังนี้ค่ะ

    - อธิบายผลกระทบต่อกลไกการทำงานของร่างกายละเอียดขึ้น แต่ก็สนับสนุน บทความที่ผ่านมา

    - ได้ตัวเลขปริมาณการทานที่เหมาะสม ทั้งสำหรับผู้ที่ต้องการต้านอนุมูลอิสระ (500-100 มิลิกรัมต่อวัน) และ ผู้ที่ต้องการทานเพื่อให้ผิวขาว (20-40 ต่อ กิโลกรัม ต่อ วัน) ซึ่ง คำว่า "ต่อ กิลโลกรัม" นั้น ยังไม่ชัดเจน ว่าเป็นน้ำหนักของอะไร

    - กลูต้าไทโอนแบบฉีดนั้น ยังไม่ได้รับ อย. ยังไม่รู้ปริมาณสารที่ร่างกายรองรับไหวแน่ชัด จากการฉีดกลูตาไทโอน และผู้ที่ผลิตกลูตาไทโอนเอง ก็ไม่ได้นำเข้ามา ดังนั้น สินค้ากลูตาไทโอนแบบฉีดที่นำเข้ามา น่าจะเป็นของปลอม


    ถึงตรงนี้แล้ว เราเลือกตัด กลูต้าไทโอนแบบฉีดออกจากตัวเลือกการบริโภคแล้วค่ะ เพราะข้อมูลจากหลายบทความ (โดยเฉพาะบทความที่มีการลงชื่อผู้เขียนชัดเจน) ที่บ่งบอกว่า กลูต้าไทโอนแบบฉีด ยังอันตรายอยู่ สำหรับการบริโภคค่ะ

    ส่วนข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ เหลืออยู่อย่างเดียวแล้วค่ะ ว่า สำหรับการทาน เพื่อให้ผิวขาวนั้น จะต้องทานเท่าไร ต่อวันกันแน่


    หลังจากนั่งอ่านเว็บอยู่นาน จากคำค้นเดิม เราก็ยังไม่พบข้อมูลที่เกี๋ยวกับปริมาณที่แน่นอนค่ะ เราก็เลยเปลี่ยนคำค้นเป็น "glutathaione dose kilogram" เพื่อหาข้อมูลในภาษาอังกฤษ ที่เกี่ยวข้องกับปริมาณการทาน จนเจอ บทความนี้ค่ะ
  4. s
    s
    How does Glutathione make Skin whiter?

    Follow diagram of pigmentation pathway below.

    In order to achieve the whitening "side effect" of Glutathione, dose must be doubled (20-40mg/Kg Body
    weight per day divided into 2-3 doses). This is the main reason why glutathione helps in whitening
    skin. In Asia, oral glutathione is also referred to as skin whitening capsule, whitening pill, bleaching
    pill, or skin whitener that were proven to be very safe and effective.

    BELOW IS THE SIMPLIFIED PATHWAY OF SKIN PIGMENTATION.


    As Anti-oxidant/ anti-aging:

    Standard dosage computation:

    10mg per Kg BW (Body weight) per day.


    But as a SKIN WHITENER computation should be IN DOUBLE INCREASED DOSE

    20-40mg/Kg BW per day in 2-3 divided dose.

    Duration:

    Medium brown skin : 1-3months
    Dark brown skin : 3-6months
    Very dark skin : 6-12 months
    Black skin : 2 years or more


    Upon reaching desired skin color, maintenance dose: 1 capsule 500mg once a day.

    Note: Grapeseed Oil Extracts 1,000mg should be taken 1cap 2x a day to regenerate oxidized
    glutathione to its absorbable form.

    All Glutathione are oxidized when they pass the stomach and become Glutathione Disulfide (GSSG).
    With the presense of other antioxidants such as Vit C, Alpha Lipoic Acid, Vit E and most especially
    Grapeseed Oil Extracts (20x Vit C and 50x Vit E), regenerates Glutathione Disulfide to Reduced
    Glutathione (Usable form of Glutathione).

    - Dr. Theodore Hesrh, MD
    Emeritus, Emory School of Medicine


    จาก http://www.unitedshelter.us/gluta6.html


    จริงๆแล้ว บทความนี้ มีแผนภาพด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้นำมาลงค่ะ

    จากบทความจากลิงค์ที่ 4 ข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจ มีดังนี้ค่ะ

    - มีปริมาณตัวเลข เทียบกับน้ำหนักตัว ชัดเจน ทั้งการทานแบบต้านอนุมูล (10 มิลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กก./วัน) และการทานเพื่อให้ผิวขาว (20-40 มิลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กก./วัน) ซึ่ง สอดคล้อง ใกล้เคียงกับบทความก่อนหน้านี้


    ถึงตอนนี้ จากข้อมูลที่ได้มาทั้งหมด เราสามารถตัดสินใจเลือกบริโภค กลูต้าไทโอน แบบทาน ได้สูงสุด (เราน้ำหนัก 50) 50x40 = 2000 มิลิกรัม ต่อ วัน และ ต่ำสุด (ที่จะเห็นผล เรื่องผิว) 50x20 = 1000 มิลิกรัมต่อวัน ค่ะ (ซึ่ง เราคงเลือกที่ ไม่เกิน 1500 มิลิกรัมต่อวัน เผื่อไว้ค่ะ)

    ซึ่ง หากเพื่อนๆ อ่านถึงตอนนี้แล้ว ยังสงสัยในข้อมูลส่วนไหน ที่ทำให้ตัดสินใจไม่ได้ หรือ ต้องการอยากรู้ข้อมูลอะไรเพิ่ม เพื่อนๆสามารถ นำกระบวนการย่อยข้อมูล เพื่อหาข้อมูลที่เชื่อถือได้มากที่สุดนี้ ไปย่อยบทความอื่นๆ เพิ่มเติมได้นะคะ


    ถึงตรงนี้ อยากจะฝากความจริง (อันนี้เป็นความจริง จริงๆค่ะ ไม่ใช่แค่ข้อมูล) ประโยคนึงให้เพื่อนๆค่ะ ที่ว่า "ความรู้คนอื่น เป็นแค่ข้อมูลของเรา" จากหนังสือ "อ่านก่อนที่ชีวิตจะหมดความหมาย มากไปกว่านี้" ของคุณเอกราช จันทร์ดอนค่ะ

    คุณเอกราช เป็นคนไทย ที่มีงานเขียน (หนังสือชื่อ "ความลับของคน") ซึ่งเป็นหนังสือไทย เล่มเดียว ที่ได้รับยกย่องเป็น "ความคิดใหม่ของโลก" จากห้องสมุดออสเตรเลีย แต่เราเองก็งง ว่าคนไทยเองทำไมไม่ค่อยรู้จัก ทั้งที่ฝรั่งเค้าก็ให้การยอมรับขนาดนั้น ซึ่ง วิธีการคิดที่เราใช้ที่นำมาแชร์ ก็เป็นหนึ่งในวิธีคิด ที่ได้จากงานเขียนของคุณเอกราชค่ะ (หนังสือชื่อ "สมองมีชีวิต สุดยอดคำภีร์ความคิด") หากว่าเพื่อนๆ คนไหน อยากได้วิธีคิดใหม่ๆ ไปปรับใช้ในการเรียน หรือการทำงาน ลองเข้ามาดูนะคะ ที่ลิงค์ด้ัานล่างค่ะ (Recommended อย่างแรงค่ะ)


    http://www.hi5.com/friend/group/3278224-...topic-html



    ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนค่ะ ที่อ่านมาถึงตอนนี้ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม จะมาแนะนำใหม่นะคะ หรือถ้าเพื่อนๆ ยังมีความสงสัยในบทความนี้ ส่วนไหนอยู่ post ถามได้เลยนะคะ ยินดีให้คำตอบค่ะ

    เครดิต::http://yourfwd.com/forum/showthread.php?tid=12
  5. s
    s
    ถ้าบทความยาวเกินไป ก็เลือกอ่านเฉพาะ ตัวหนาสีน้ำเงิน ก็พอจ้า
  6. madam-neat
    madam-neat
    กำลังสนใจอยู่พอดีเลยค่ะ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะฉีดหรือกิน อยากขาวอยากใสขึ้นบ้าง
    ที่จริงผิวก็ไม่คล้ำนะคะ แต่ก็อยากขาวขึ้นอีก(กิเลสคน)
    ถ้าเรากินไปเรือยๆจะขาวขึ้นๆเรื่อยๆไหมคะ หรือขาวได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น
Results 1 to 6 of 6