DigitalKnowledge

รวมเรื่องที่ต้องรู้! ก่อนลงทุนกองทุนรวมในตลาดหุ้นจีน

Rate this Entry
แม้สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกจะกำลังเผชิญกับผลกระทบครั้งใหญ่จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอุบัติใหม่อย่างโคโรน่าแต่เศรษฐกิจของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่กลับสวนทางด้วยการเติบโตชนิดก้าวกระโดด จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลก ทำให้นักลงทุนเริ่มมองหาแหล่งเงินที่พร้อมให้ตักตวงอย่างกองทุนรวมในตลาดหุ้นจีน พลิกวิกฤติทางการเงินให้เป็นโอกาสในการลงทุนกับแหล่งเงินแห่งใหม่!


3 เรื่องต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนกับกองทุนรวมหุ้นจีน

รู้จักลักษณะการลงทุนของกองทุนหลัก
แม้ว่าคุณกำลังสนใจการลงทุนกองทุนรวมของหุ้นจีนอยู่นั้น แต่หนึ่งเรื่องที่คุณจำเป็นจะต้องรู้ก่อนตัดสินใจทำการลงทุน คือลักษณะของกองทุนหลักที่สามารถเข้าไปซื้อ-ขายได้ สามารถแบ่งตามลักษณะได้ 2 ประเภท
- Master Fund : หรืออีกชื่อที่รู้จักกันอย่าง Feeder Fund ที่เป็นการเข้าไปลงทุนกองทุนรวมของต่างประเทศ โดยต้องทำการพิจารณาการลงทุนไปถึงหุ้นที่กองทุนรวมนั้น ๆ ถือครองอยู่ เพื่อคำนวณถึงโอกาสได้กำไรจากการลงทุนได้อย่างรอบคอบ
- Fund of Funds : เป็นการเข้าไปลงทุนโดยตรงกับกองทุนรวมที่ลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรง และยังสามารถซื้อ-ขายกับกองทุนต่างประเทศได้หลายกองทุน สำหรับลักษณะการลงทุนแบบนี้มีข้อดีเรื่องการกระจายความเสี่ยง แต่ก็มีข้อด้อยในเรื่องของการติดตามผลการดำเนินที่ทำได้อย่างไม่ชัดเจน

เลือกตลาดที่จะลงทุน
โดยทั่วไปตลาดลงทุนกองทุนรวมของหุ้นจีนที่ได้รับความนิยมจากนักทุนมีอยู่ 2 ตลาดใหญ่ คือ A-Share และ H-Shared ซึ่งมีรายละเอียดความแตกต่างกัน ดังนี้
A-Shared : เป็นดัชนีหุ้นที่อยู่ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ มีการจดทะเบียนในตลาดหุ้นเซียงไฮ้ และ เสิ้นเจิ้น ที่มีโอกาสเติบโตได้สูงจากการบริโภค และการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ถึงแม้จะมีการเติบโตที่สูงมากเพียงใด แต่ตลาดนี้ยังคงมีความเสี่ยงด้านการลงทุนสูงเนื่องจากการควบคุมของภาครัฐ
H-Shared : เป็นดัชนีหุ้นที่อยู่ในฮ่องกง ที่มีการจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮั่งเส็ง เนื่องด้วยตำแหน่งของตลาดนี้อยู่ที่ฮ่องกง ทำให้ตลาด H-Shared กลายเป็นศูนย์กลางด้านการเงิน และมีการค้าขายกับต่างประเทศได้คล่องตัว จึงทำให้สามารถลงทุนกองทุนรวมได้ง่ายกว่าหุ้นจีน

เลือกสไตล์ที่ใช่กับตัวคุณ
อยากลงทุนกองทุนรวมในตลาดหุ้นจีน แล้วรูปแบบการลงทุนแบบไหนที่เหมาะกับตัวคุณ? สำหรับนักลงทุนแต่ละบุคคลเองก็เลือกรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
Active : เป็นรูปแบบการลงทุนที่เน้นการบริหารแบบเชิงรุกด้วยวิธีการคัดสรรหุ้น เพื่อทำการซื้อ-ขายในเวลาที่เหมาะสม
Passive : ถือเป็นรูปแบบการลงทุนที่เน้นตามเกณฑ์มาตรฐาน ลงทุนให้สัดส่วนเป็นไปตามดัชนีของตลาดหุ้นที่เลือกลงทุน
Tags: None Add / Edit Tags
Categories
Uncategorized

Comments