moomgt

ลงทุนน้อย แต่ยอดขายปังกับ 6 เทคนิคที่ใช้ได้จริง!

Rate this Entry
ลงทุนน้อย แต่ยอดขายปังกับ 6 เทคนิคที่ใช้ได้จริง!

วิธีสร้างยอดขายออนไลน์หลักล้านต่อเดือนไม่ใช่เรื่องยาก

มีคนทำสำเร็จเยอะแยะมากมายครับ

ซึ่งรายละเอียดของจักรวาลเฟสบุคนั้นมีมากมาย และนี่คือส่วนหนึ่งที่เราจะต้องรู้ครับ

 1 ) จงสร้าง Content ที่ปั้นมาเพื่อ "ปิดการขาย"

จากประสบการณ์การทำแฟนเพจ

ในแบบให้ความรู้และขายของตรง ๆ

สิ่งที่ผมพบก็คือ Content ที่สร้าง Viral

มักไม่ได้สร้างยอดขายอลังการ

อย่าให้จำนวนแชร์มันหลอกเรา

ส่วนใหญ่ Campaign Viral จะทำให้คนรู้จักชื่อ แต่ไม่สามารถปิดการขายได้



( Note : คำว่า Viral ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นกระแส

ที่ Social Media พูดถึงตลอด

แต่ขอให้เป็นกระแสในขอบเขตธุรกิจนั้น ๆ ครับ )





แต่ในชีวิตจริง

หลาย ๆ Content ที่ถูกขีดเขียนมาในแบบที่ Sharable

คือแฟนเพจอ่านปุ๊ป ต้องอดใจไม่ไหว

เราจะเห็น Content แบบนี้มีจำนวนยอดแชร์รวมไหลไปเป็น 1,000 เป็น 10,000

แต่กลับกลายเป็นว่า "ดูดี แต่ไม่มียอดขาย"

(สามารถอ่านละเอียด " 5 ลักษณะ SALES CONTENT ทำเงินล้าน " ได้ที่ลิ้งนี้นะครับ

https://goo.gl/fEkH8Y )





2 ) หา "นักวิ่ง" ที่ดีที่สุดแล้วอัดฉีดเงินเข้าไป



ข้อดีที่สุดอย่างหนึ่งของ Social Media

และคนส่วนใหญ่มักพลาดที่จะใช้นั่นคือ

"การปรับตัว" ด้วยความรวดเร็วของ Social Media

เราสามารถปล่อย Campaign ได้ภายในครึ่งวัน

แต่สิ่งที่มีประโยชน์มากกว่านั้น คือการวัดผลตอบรับของลูกค้า





ถ้าเป็น Offline

นอกจากจะใช้เวลาออกแบบบูธ

ทำ Backdrop จัดโต๊ะ แล้ว

วงจรตั้งแต่เริ่มคิด Campaign

จนถึงวัดผลยอดขายที่ได้รับอาจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือ 1 เดือน





แต่ความเป็น Online

อนุญาตให้เราปรับตัว และ "ทดลอง"

การทำการตลาดออนไลน์

คือ การทดลองหาวิธีการสร้างยอดขายที่ดีที่สุดในขณะนั้น

ยิ่งทดลองมาก ยิ่งได้เปรียบ

เราอย่าคิดว่า แนวทางการโปรโมทที่ทำอยู่นี้คือดีที่สุดแล้ว

เหนือฟ้ายังมีฟ้า

เหนือปัจจุบันยังมีการอัพเดทของ Facebook หรือ LINE

เมื่อ Direction ของแพลทฟอร์มเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนตาม





ถึงแม้จะยุ่งยากแต่เจ้าของแพลทฟอร์ม

ก็ทำเพื่อพัฒนาให้ทุก ๆ คนพึงพอใจมากขึ้น

ดังนั้น อย่าละเลยที่จะคิดวิธีการโปรโมทแบบใหม่



ยกตัวอย่างเช่น

-เคยถ่ายรูปสินค้าเดี่ยว ๆ ลองมาถ่ายรูปกับสถานที่สวย ๆ ไหม

-เคยใช้สื่อหลักเป็นภาพของทำคลิปดีไหม

-เคยโปรโมทในแฟนเพจตัวเอง ลองใช้ Influencer ดีไหม (พวก Blogger หรือ Net idol)


เมื่อเจอ Content ที่สร้าง Organic reach สูง ๆ

กว่าโพสต์อื่น ๆ

และมาพร้อมกับสัญญาณซื้อ คือ 

การทัก Inbox มาถามเรื่องสินค้า

หรือคอมเม้นต์ถาม

นั้นแปลว่าเราเจอ "นักวิ่ง" ที่ดีที่สุด ณ ตอนนั้นแล้วครับ อัดเงินโฆษณาเข้าไปในโพสต์นั้นเน้น ๆ เลยครับ





3 ) ลดละเลิกการปั่นเพจไลค์แบบเลอะเทอะ



สำหรับคนที่มีงบน้อย

อย่าทุมงบทั้งหมดไปที่ Page Like

เพราะมันไม่เคยการันตีอะไรสักอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ค่อนข้างจะห่างไกล

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง



ประเด็นที่ผมอยากจะถามก็คือ 

เราเพิ่ม Page Like เพื่ออะไรบ้าง?

เพจหลักล้านบางเพจไม่สามารถสร้างยอดขายได้เยอะ

เท่ากับ Followers ที่มี

ซึ่งนั้นก็อาจจะเป็น เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจทำเพจเพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายตั้งแต่แรก ยังเป็นแค่ Media เท่านั้น

(สามารถอ่านละเอียด " xxx " ได้ที่ลิ้งนี้นะครับ)


4 ) พูดคุยกับลูกค้าเหมือนอยู่ตรงหน้าเรา

ข้อดีของการ Chat

ก็คือความรวดเร็วในการสื่อสาร

ไม่ต้องมีเวลาเยอะหรือว่างพร้อมกัน ก็ส่งข้อความไปได้

แต่อีกมุมนึงที่สำคัญข้อเสียของการ chat

คือ มันขาดความทรงพลังของการขาย 

เวลาที่เรา Copy ข้อความเพื่อส่งไปหาคนอื่น ๆ ในแชท

เราจะรู้สึกว่า ข้อความไปได้อย่างรวดเร็ว



แต่คนส่วนใหญ่มักละเลยการ Follow up

คนที่ได้รับข้อความนั้น ๆ

ไม่ใช่ทุกคนที่ซื้อตั้งแต่ได้ยินเสียงลุงขายไอศกรีมที่ถีบรถเข็นมา

ใน Chat เราสามารถพูดคุยแบบส่วนตัวกับลูกค้าแต่ละคนได้

คำว่า "ส่วนตัว" ในที่นี้นั้นหมายถึง

ความเฉพาะเจาะจงกับปัญหาของลูกค้า

พื้นฐานของลูกค้า และระดับความพึงพอใจ





ปรับความคิดซะใหม่ครับ

การคุยกับลูกค้า คือ การขายให้กับลูกค้าที่สนใจ

ไม่ใช่แค่การตอบส่ง ๆ ไปให้จบ 

Admin ที่เหมาะสมในการตอบลูกค้าคือ

Admin ที่มีจิตของ "นักขาย"

เราไม่ได้แค่ระบบอัตโนมัติ

เราเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์



โดยสรุปก็คือ อย่าปล่อยผ่านลูกค้าที่ทักมาทางแชทเรา

ให้เหมือนกับลูกค้าที่เดินเข้ามาทักเราในบูธ

เพราะทุกความสนใจมีมูลค่าเสมอครับ

Note : เมื่อเราใช้โปรแกรมแชทคุยกับลูกค้า

เราไม่สามารถแสดงน้ำเสียงอันเป็นมิตรได้

จงใช้ภาษาพิมพ์ที่เป็นกันเอง

แต่สุภาพเพื่อแสดงความอบอุ่นผ่านตัวอักษร

และอย่าลืมว่าช่องที่เราส่งข้อความไป

มีคนรับสารเป็นคน

เราสามารถพูดคุยได้เหมือนกับลูกค้าคนนึงที่เดินเข้ามาหยิบจับสินค้าในร้านครับ





5 ) วาง Mechanic ของการขายเอาไว้



ยอดขายเฉลี่ยต่อลูกค้า

คือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมาก



คนส่วนใหญ่ชอบวิ่งล่าลูกค้า ชอบใช้ "จำนวน" เป็นตัวนำ

แต่จำนวนที่ไร้คุณภาพสร้างปัญหาตามมาเสมอ

ถ้าลูกค้าของเรามีไม่เยอะอย่างตลาด Mass อื่น ๆ

ซึ่งมันเป็นไปได้สูงที่ ผู้เล่นรายใหม่ หรือผู้เล่นรายเล็กอย่างเราจะเจาะตลาดเฉพาะ

ซึ่งข้อเสียของตลาดเฉพาะก็คือ

ฐานลูกค้าเล็กกว่าตลาด Mass

เมื่อเล็กกว่าแต่อยากได้ยอดขายเท่ากันหรือมากกว่าตลาด Mass



หนทางเดียวของตลาด Niche ก็คือ

เพิ่มยอดขายต่อหัวของลูกค้า 

ซึ่งการวางกลไกนั้นเป็นเรื่องสำคัญครับ

การที่ลูกค้าซื้อเยอะนั้นเกิดจากการวางแผนล้วน ๆ

ไม่ว่าจะเป็นการเทรน Admin อย่างดี

หรือการวางโปรโมชั่นไว้เพื่อดันยอดขายให้ขึ้นไปจากที่ลูกค้าคาดคิดไว้ตอนแรก

Key idea ของข้อนี้ก็คือ

เรารู้ไหมว่า ลูกค้ายินดีจะจ่ายเพื่อสินค้าของเรามากที่สุดเท่าไหร่ 

1,000 บาท แพงไปไหม หรือ 8,000 บาท ยังถูกไป

Note : ราคานั้นขึ้นกับกลุ่มลูกค้าด้วยนะครับ

C , B , A จะ Sensitive ต่อราคาแตกต่างกันออกไปครับ

ขั้นต่ำที่ลูกค้าซื้อได้

คือ ขั้นต่ำที่เราจะขาย

และการวางโปรโมชั่นนั้นเป็นไป

เพื่อเพิ่มยอดขายต่อหัวให้เป็นระดับกลางและสูงสุด

ยกตัวอย่างเช่น

ลูกค้าจะซื้อครีมอยู่ที่ 1,200 บาท (ลูกค้าระดับ B ถึง B+)

เราจัดเซ็ทโปรโมชั่นตั้งแต่ 2,100 บาท

จนถึงเซ็ทสูงสุด 3,000 บาทก็ได้

a ) 1 หลอด 1,200 บาท

b ) 2 หลอด 2,100 บาท

c ) 3 หลอด 3,000 บาท

การทำบันไดราคาที่ผูกกับ Volume

เป็นรูปแบบนึงของ Promotion

ที่จะเป็นกลไกช่วยดันให้ลูกค้าซื้อมากขึ้นกว่าที่เขาคิดครับ

ส่วน Mechanic อื่น ๆ นั้นมีหลายรูปแบบครับ

เช่น การสะสมแต้ม ,ทำระบบสมาชิก ,

การให้ส่วนลดสำหรับครั้งต่อไป ,

การแถมสินค้า Exclusive เป็นต้น



และผมเชื่อว่ามีอีกหลายวิธีในการวางกลไก

เพื่อให้การขายง่ายขึ้นและดันยอดขายได้เยอะขึ้นอีกครับ

6 ) ต้องบีบบังคับให้ลูกค้าซื้อ

Procastination

คือการผัดวันประกันพรุ่งที่น่ากลัว

และเป็นภัยต่อยอดขายของเรา



ลูกค้าถาม แต่ไม่ซื้อ

อาจจะเกิดจากความไม่มั่นใจในตัวสินค้า

แต่สาเหตุหลักอีกอย่าง

ก็คือ ลูกค้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องซื้อตอนนี้ต่างหาก

วันนี้ผมมี 2 วิธีที่จะให้ลูกค้าซื้อทันที

a ) การกระตุ้นซ้ำ

 ธรรมชาติระหว่างอารมณ์กับยอดขายก็คือ

อารมณ์สูงซื้อง่าย อารมณ์สูงจ่ายเยอะ

และในทางกลับกัน

อารมณ์ต่ำซื้อยาก อารมณ์ต่ำจ่ายน้อย

ทุกครั้งที่เรายิงสื่อออกไป

ก็เพื่อดึงอารมณ์ซื้อของลูกค้าให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ 
การยิงสื่อซ้ำ

ก็เพื่อดึงความอยากให้กลับมาอีกครั้ง

แต่ข้อแนะนำก็คือ ควรเปลี่ยนสื่อที่ใช้

เพราะลูกค้าจะคุ้นชินกับ Content เดิมไปแล้ว

รับผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ ราคาถูกอารมณ์อยากซื้อจะไม่เท่ากับครั้งแรกที่ได้เสพ Content แน่นอน

ดังนั้นต้องใช้ Content ใหม่ ยิงซ้ำในจุดเดิม

เพื่อปลุกลูกค้าให้กลับมาอีกครั้งครับ

b ) Limitation

ความจำกัดกรอบการตัดสินใจ

เวลามากก็เรื่องมาก

ถ้าเราทำได้ดีในการสื่อสารกับลูกค้า

เรื่องจุดขาย ความแตกต่างจากแบรนด์อื่น

ความคุ้มค่า

ก็เหลือภารกิจอย่างเดียวที่เราจะต้องพิชิต

ก็คือ กรอบการตัดสินใจครับ

ซึ่งข้อจำกัดที่มักใช้ในการตลาดนั้น

ก็มีพวก เวลา ,จำนวนสิทธิ์ นั่นเอง

ไม่มากไม่น้อยเกินไป

จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้านั้นระยะเวลาที่เราต้องการครับ
และทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยสร้างยอดขายให้คุณ 
ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะครับ

Comments