ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด นิตยสารหมอชาวบ้าน อธิบายว่า ผลิตภัณฑ์แคลเซียมที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดจะมีหลายรูปแบบทั้งแบบที่เป็นเม็ดฟู่ ชนิดเม็ด และชนิดแคปซูล โดยอยู่ในรูปของเกลือแคลเซียมชนิดต่างๆ เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate) แคลเซียมซิเทรต (calcium citrate) และแคลเซียมฟอสเฟต (calcium phosphate) เป็นต้น เกลือของแคลเซียมแต่ละชนิดจะให้ปริมาณแคลเซียมแตกต่างกัน ดังนี้
- แคลเซียมคาร์บอเนต ให้แคลเซียมร้อยละ 40 คือ
ถ้ากินแคลเซียมคาร์บอเนต 500 มิลลิกรัม ร่างกายของเราจะได้รับแคลเซียมเป็นจำนวน 200 มิลลิกรัม
อ.พญ. จันทนรัศม์ จันทนยิ่งยง ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า
กรณีผู้ป่วยมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยจะทำให้ดูดซึมได้น้อยลง เนื่องจากแคลเซียมคาร์บอเนตต้องอยู่ในสภาวะที่เป็นกรด จึงจะแตกตัวแล้วถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้นควรรับประทานหลังอาหารทันที หรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมง เพราะกรดในกระเพาะอาหารจะหลั่งออกมามากในช่วงนี้นั่นเอง หากแคลเซียมคาร์บอเนตไม่แตกตัวและถูกดูดซึม ก็จะเป็นสาเหตุของการเกิดท้องผูกและท้องอืดได้
- แคลเซียมฟอสเฟต ให้แคลเซียมร้อยละ 38 คือ
ถ้ากินแคลเซียมซิเทรต 500 มิลลิกรัม ร่างกายของเราจะได้รับแคลเซียมเพียง 190 มิลลิกรัม
- แคลเซียมซิเทรต ให้แคลเซียมร้อยละ 21 คือ
ถ้ากินแคลเซียมซิเทรต 500 มิลลิกรัม ร่างกายของเราจะได้รับแคลเซียมเพียง 105 มิลลิกรัม
ศาสตราจารย์ นพ.อภิชาติ จิตต์เจริญ ภาควิชาสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สามารถรับประทานแคลเซียมซิเทรตเวลาใดก็ได้ ไม่มีผลต่อการดูดซึมของแคลเซียม เนื่องจากไม่ต้องอาศัยกรดในกระเพาะในการแตกตัว จึงไม่ทำให้ท้องผูก ท้องอืด และลดอาการเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไต จึงใช้กับผู้ป่วยโรคไตได้ แต่มีข้อเสียคือราคาสูง
ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แคลเซียมจึงควรคำนึงถึงเกลือของแคลเซียมว่า เป็นเกลือชนิดใดด้วย
เพราะเกลือแคลเซียมแต่ละชนิดจะดูดซึมและให้แคลเซียมในปริมาณที่แตกต่างกัน