การเกิดขึ้นของ "โรงเรียนวิศวกรรมขั้นสูง จาก BIT"

  1. bit
    bit
    ก่อนหน้าที่ ที่ผมพยายามจะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ จากการเรียนในสายวิศวกรรม จนเริ่มมาสร้างองค์กรธุรกิจด้าน IT ของตัวผมเอง มาเผยแพร่ใน Social Group "ชมรมผู้ประกอบการใหม่ ด้าน IT" ในชุมชน Sbntown.com ที่ผ่านมา

    ด้วยการอยากเห็นคนอื่นๆที่เรียนหรือสนใจในการพัฒนาเทโนโลยีไอที ได้ตัดสินใจเริ่มออกมาสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจของตนเองด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีไอที ดังที่บรรยายรายละเอียดไว้ ในบทความ "ทำไมจึงต้องมีชมรมผู้ประกอบการใหม่ ด้าน IT"

    ซึ่งในระหว่างที่พยายามจะสร้างชมรมให้เกิดขึ้นมานั้น ผมเองก็กำลังพยายามสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจของผมอยู่เช่นกัน


    ขอบคุณรูปจาก http://www.cartoonstock.com/directory/r/reconsider.asp

    ในการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจนั้น ไม่มีสูตร ไม่มีรูปแบบตายตัว ดังนั้น การสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจนั้น ไม่สามารถทำให้ถูกต้องทั้งหมดทุกรายละเอียด โดยไม่มีการตัดสินใจผิดพลาดเลยได้ ผู้ที่ตัดสินใจเริ่มสร้างงาน สร้างองค์กรธุรกิจของตนเองนั้น จึงต้องหมั่นทบทวน หาการตัดสินใจที่เคยผิดพลาดของตนเอง แล้วปรับปรุงแก้ไข จนเป็นวินัยติดตัวให้ได้

    สำหรับการสร้าง "ชมรมผู้ประกอบการใหม่ ด้าน IT" นั้น หลังจากตัดสินใจลงมือเปิด Social Group ใน Sbntown และ Group ใน Facebook ไปแล้ว ลงเนื้อหาไปได้พักหนึ่ง ผมเองก็ต้องหยุด ทบทวน ว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้น มีสิ่งใดผิดพลาดบ้าง ทบทวนอยู่หลายรอบรู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าสิ่งที่ทำนั้นยังไม่ถูกแต่ยังหาไม่เจอว่าผิดที่ใด สุดท้ายไปปรึกษารุ่นพี่ที่เป็นหุ้นส่วนที่ปรึกษาขององค์กรนำความตะขิดตะขวงใจไปเล่าให้ฟัง เลยเจอการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องนี้

    หากทบทวนย้อนกลับไปในช่วงที่ผมยังเคว้งคว้าง ในความไม่รู้ (เรื่องราวอยู่ใน บทความ "ทำไมจึงต้องมีชมรมผู้ประกอบการใหม่ ด้าน IT") นับเป็นเวลาหลายปี ที่ผมจมอยู่ในความไม่รู้ เคว้งคว้าง ไม่รู้จะเริ่มต้นสร้างงาน สร้างองค์กรธุรกิจ ของตนเองได้อย่างไร (ตอนนั้น ถึงจะจดทะเบียนเปิดบริษัท ตามกฏหมาย เมื่อดูแต่ภายนอกแล้ว ผมเป็นเจ้าของบริษัทแล้ว แต่ถือว่ายังไม่ได้เริ่มสร้างงาน สร้างองค์กรธุรกิจ เนื่องจากยังไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร)

    จนกระทั่ง ผมมาได้ฟังบรรยาย จากคุณเอกราช จันทร์ดอน (เรื่องราวอยู่ในบทความ "SarapanFax.com อีกธุรกิจ ที่เกิดจากความคิดใหม่") จนกระทั่งมาได้ฟังประโยคสุดท้ายที่ว่า


    "ทำธุรกิจ มันมีวิธีหาลูกค้าอยู่ 2 แบบ แบบแรก หาจากสายสัมพันธ์เป็นหลัก อย่างที่นายทำมานั่นแหละ ส่วน อีกแบบ หาจากความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า นายคิดว่าบริษัที่เป็นระดับโลก อย่าง Microsoft หรือ Google ตอนเริ่มประสบความสำเร็จ เขาคิดแบบไหนกันหล่ะ"
    หลังจากได้ฟังประโยคนั้น ผมจึงเริ่มหลุดจากความไม่รู้ และเริ่มเข้าสู่วิถีการสร้างงาน สร้างองค์กรธุรกิจได้ ในช่วงเวลานั้นเอง

    พอทบทวนย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ เปลี่ยน จากไม่รู้ เป็นเริ่มรู้ เปลี่ยนจากเคว้งคว้างสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจไม่ได้ เป็นเริ่มเข้าสู่วิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ

    พอนึกๆไป มันเป็นเรื่องน่าแปลก สำหรับคนที่เคยทุกข์ แต่หายทุกข์ไปแล้ว ที่มักจะไม่ย้อนกลับไปทบทวนอย่างละเอียด ว่าที่ตนหายทุกข์นั้น เพราะเหตุใดและเพราะใคร

    ผมเองก็เช่นกัน ผมเองผ่านช่วงเวลานั้นมาก็นานหลายปีแล้ว นึกทบทวนย้อนกลับไปช่วงเวลานั้น ก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยทบทวนละเอียดในช่วงที่เปลี่ยน จากไม่รู้ เป็นเริ่มรู้ เลยสักครั้ง


    พอได้มาทบทวนละเอียดเลยได้เริ่มพิจารณา ประโยคสุดท้ายที่คุณเอกราช บอกผมในวันนั้น อีกครั้ง

    "ทำธุรกิจ มันมีวิธีหาลูกค้าอยู่ 2 แบบ แบบแรก หาจากสายสัมพันธ์เป็นหลัก อย่างที่นายทำมานั่นแหละ ส่วน อีกแบบ หาจากความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า นายคิดว่าบริษัที่เป็นระดับโลก อย่าง Microsoft หรือ Google ตอนเริ่มประสบความสำเร็จ เขาคิดแบบไหนกันหล่ะ"
    พอมองเข้าไปในรายละเอียด ของความแตกต่างของกรอบคิด ในการประกอบการ 2 แบบ (ดังที่ผมขีดเส้นใต้ไว้ด้านบน) จึงเริ่มเจอ ว่าจริงๆแล้ว สิ่งที่คุณเอกราช บอกให้ผมรู้ตัวในวันนั้น คือ "ผม ยังไม่ได้คิดจะพึ่งตนเอง"

    นั่นจึงไม่แปลก ว่าทำไมผมจึงเคว้งคว้าง สร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจของตนเองไม่ได้ พอผมได้รับรู้ ในช่วงเวลานั้น ว่า "ผม ยังไม่ได้คิดจะพึ่งตนเอง" ผมจึงถึงบางอ้อทันที และรู้ว่าต้องเริ่ม "คิดที่จะพึ่งตนเอง" จึงเริ่มเดินเข้าสู่วิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ


    ขอบคุณรูปจาก http://www.cartoonstock.com/cartoonv...GATIVEkeyword=

    แต่เหตุการที่เปลี่ยน ที่ได้รู้ ว่า "ผม ยังไม่คิดจะพึ่งตนเอง" นั้น เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมตามตัวเองไม่ทัน เปรียบแล้ว เหมือนคนที่อดอยากหิวโหยมาตลอด อยู่ๆมีคนยื่นอาหารมาให้ ก็กินด้วยความหิวโหย จนไม่ทันรู้รสชาติของอาหารที่กำลังกินอยู่ด้วยซ้ำ

    (ภาวะนี้ ในวิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ที่ผมฝึกอยู่นั้น เรียกว่า ภาวะ "รีบ" ซึ่ง เป็นภาวะที่อันตราย ก่อให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย ตลอดเวลา ดังนั้น หากเข้ามาฝึกการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ในวิถีที่ผมฝึกอยู่นั้น พื้นฐานหนึ่งที่ต้องฝึกคือ ต้องฝึกให้มองเห็นภาวะ "รีบ" ของตน และ เอาชนะ ความ "รีบ" ของตนให้ได้ เป็นการต่อมา)


    ขอบคุณรูปจาก http://www.jokeroo.com/pictures/animal/heavy-load.html

    กลับมาที่คำสำคัญ ที่เป็นเหตุให้ผม สามารถเริ่มเข้าสู่วิถีการสร้างงาน สร้างองค์กรธุรกิจของตนเองได้ นั้นคือ คำว่า "พึ่งตนเอง"

    จริงๆแล้ว คำว่า "พึ่งตนเอง" นั้น ได้ถูกสอนและเน้นย้ำอยู่ตลอด โดยองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะเห็นได้จาก หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระองค์ท่านได้พระราชทานเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ของประชาชนชาวไทย ดังมีใจความตอนหนึ่ง ที่เกี่ยวกับ คำว่า "พึ่งตนเอง" ว่า

    พึ่งตนเอง (Self-sufficiency)

    "Self-sufficiency นั้นหมายความว่า ผลิตอะไรมีพอที่จะใช้ไม่ต้องไปขอซื้อคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง (พึ่งตนเอง) บางคนแปลจากภาษาฝรั่งว่า ให้ยืนบนขาตัวเอง คำว่า "ยืนบนขาตัวเอง" นี่มีคนบางคนพูดว่าชอบกล ใครจะมายืนบนขา คนอื่นมายืนบนขาเรา เราก็โกรธ แต่ตัวเองยืนบนขาตัวเองก็ต้องเสียหลักหกล้มหรือล้มลง อันนี้ก็เป็นความคิดที่อาจจะเฟี่องไปหน่อย แต่ว่าเป็นความที่เขาเรียกว่ายืนบนขาของตัวเอง (ซึ่งแปลว่า พึ่งตนเอง) หมายความว่าสองขาของเรานี่ยืนบนพื้น ให้อยู่ได้ไม่หกล้ม ไม่ต้องไปขอยืมขาขงคนอื่นมาใช้สำหรับยืน"
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=152229

    จากที่ได้พิจารณาความหมายของคำว่า "พึ่งตนเอง" จากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระองค์ท่าน ได้พระราชทานอย่างละเอียดแล้ว ได้เจอว่า คำสำคัญ ที่พระองค์ท่านทรงเน้นย้ำ ในความหมายของ คำว่า "พึ่งตนเอง" นั้น คือ คำว่า "อยู่ได้ด้วยตนเอง"

    พอผมเริ่มพิจารณาความสำพันธ์ของคำว่า "พึ่งตนเอง" และ "อยู่ได้ด้วยตนเอง" แล้ว จึงพบว่า คำว่า "พึ่งตนเอง" นั้น เป็นเหตุ ส่วนคำว่า "อยู่ได้ด้วยตนเอง" นั้น เป็นผล หากเมื่อไรที่เราพึ่งตนเองได้ เราจะเริ่มอยู่ได้ด้วยตนเอง หากว่าเราอยู่ได้ด้วยตนเองได้แล้ว แสดงว่าเราพึ่งตนเองสำเร็จแล้ว

    พอพิจารณาถึงตรงนี้ จึงได้เจอความจริงที่น่าทึ่งว่า ความหมายของคำว่า "พึ่งตนเอง" ที่พระองค์ท่านได้พระราชทานไว้นั้น เป็นความหมายในเชิงกลไก ที่มีจุดวัดในตัวเอง จุดวัดที่ว่านั้นคือ คำว่า "อยู่ได้ด้วยตนเอง"

    (**หมายเหตุ ผมไม่รู้จะอธิบายให้เข้าใจได้ในบทความนี้อย่างไรครับ แต่จากประสบการณ์ในการทำงานสร้างองค์กรธุรกิจของตนเอง ทำให้ผมเจอความจริงข้อหนึ่งว่า ความรู้ลักษณะที่มีลักษณะเป็นกลไก มีจุดวัดในตัวเองชัด สามารถนำไปใช้ได้ทันที ไม่ต้องตีความนั้น ต้องเป็นผู้ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่นั้น จนเข้าใจปัญหาและงานในพื้นที่นั้นอย่างถ่องแท้ จึงจะสร้างความรู้ลักษณะนี้ขึ้นมาได้ แต่พอเราเห็นความรู้ที่สร้างเสร็จแล้ว มันก็ดูเหมือนง่ายๆ เหมือนไม่มีอะไร ผมเลยบอกว่าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจริงๆ

    ซึ่ง การที่พระองค์ท่านสร้างความรู้ลักษณะนี้ขึ้นมาได้ แสดงว่าพระองค์ท่านทรงงานอยู่ในพื้นที่นี้มา จนเข้าใจปัญหาและงานของพื้นที่ปัญหานี้อย่างถ่องแท้จริงๆ ซึ่ง พอเจอความจริงข้อนี้ น้ำตามันจะไหล ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรต่อครับ ได้แต่ขอน้อมนำความรู้ที่พระองค์ท่านทรงสร้างไว้และพระราชทานให้พวกเรา มาใช้ให้เกิดผล ในพื้นที่งานที่ผมรับผิดชอบครับ)


    เมื่อพิจารณาคำว่า "อยู่ได้ด้วยตนเอง" ที่เป็นจุดวัดของการพึ่งตนเองนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะนำจุดวัดนี้ มาลองใช้วัดเรื่องราวที่ผมพบเจอในสังคมที่เราอยู่ จากการใช้ชีวิตประจำวันของผมเอง


    ขอขอบคุณรูปจาก http://www.skoolbuz.com/library/detail/452

    เรื่องแรกที่นึกถึง คือเรื่องการศึกษา สิ่งที่ผมสังเกตเห็นเกี่ยวกับการศึกษาคือ การกวดวิชา ที่ปัจจุบันมีแต่เพิ่มขึ้น ในสมัยก่อนช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ในตอนนั้น ยังมีค่านิยมอยู่ว่าหากใครเรียนมหาวิทยาลัย แล้วยังต้องกวดวิชาอยู่ ถือว่าแย่มาก จึงไม่ค่อยมีใครเรียนกัน หรือ หากใครที่เรียน ก็ต้องแอบเรียน ไม่ให้เพื่อนรู้ เพราะกลัวจะโดนล้อ

    แต่ในปัจจุบัน ดูจะไม่เป็นแบบนั้นเสียแล้ว การกวดวิชา กลายเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่ง มีสมมุติ เป็น "นักศึกษา" แล้ว นักศึกษานั้น ต่างกับนักเรียนตรงที่ คำว่า "ศึกษา" กับคำว่า "เรียน" ซึ่ง ความหมายก็บอกชัด ว่า "เรียน" นั้น ต้องมีคนสอน แต่คำว่า "ศึกษา" นั้น หากไม่มีคนสอน ก็ต้อง สามารถหาความรู้ที่ถูกต้อง จากแหล่งความรู้เองได้ แต่หาก "นักศึกษา" ที่ยังต้องไปกวดวิชานั้น แสดงว่า จริงๆยังสอบไม่ผ่าน การเป็น "นักเรียน" เสียด้วยซ้ำ เพราะยังไม่สามารถ "เรียนได้ด้วยตนเอง"

    พอพิจารณาไปถึงตรงนี้ ผมจึงเริ่มเจอตรรกะว่า หากนักเรียน ไม่สามารถ "เรียนได้ด้วยตนเอง" นักศึกษา ไม่สามารถ "ศึกษาได้ด้วยตนเอง" นั้น ถือว่า นักเรียน นักศึกษาเหล่านั้น จริงๆแล้ว ไม่สามารถ "อยู่ได้ด้วยตนเอง" ในสมมุติของ นักเรียน นักศึกษาได้แล้ว แต่การที่ นักศึกษา ไม่สามารถ "เรียนได้ด้วยตนเอง" นั้น มันหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า ไม่สามารถ "ศึกษาได้ด้วยตนเอง" เสียอีก แปลว่า มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าชัดเจน ว่า นักเรียน นักศึกษา ที่อยู่ในระบบการศึกษา ที่ยังต้องพึ่งการกวดวิชาอยู่นั้น ไม่สามารถ "อยู่ได้ด้วยตนเอง" แปลว่า ไม่สามารถ "พึ่งตนเองได้"

    พอพิจารณาต่อ นักเรียน นักศึกษา ที่อยู่ในระบบการศึกษานั้น เปรียบดังเหตุ พอพวกเขาเริ่มจบการศึกษาออกไปทำงานอยู่ในสังคม บางคนกลายเป็นผู้ที่ดูแลนโยบายสำคัญในการบริหาประเทศ ภาพรวมของการบริหารประเทศนั้น จึงเปรียบเหมือนผล


    ขอขอบคุณรูปจาก http://www.contentcentric.org/automo...-recovery.html

    มีหลายครั้ง ที่ผมเคยได้ยิน นโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย ว่าเราจะเป็นโรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนในการผลิตรถยนต์หลักของเอเซีย (Detroit of Asia; Detroit เป็นเมืองที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์หลัก ของสหรัฐอเมริกา) แต่ผมกลับต้องแปลกใจว่า เราเลือกจะเป็นฐานการผลิตหลักในอุตสาหกรรมยายยนต์ ของทวีปเอเชีย (ซึ่งเป็น ทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ทั้งๆที่ เราไม่มีรถยนต์ ที่เป็นยี่ห้อของเราเองที่มีเทคโนโลยีในการสร้างและผลิตรถยนต์ของตนเองจนครบกระบวนการ แม้สักยี่ห้อเดียว

    นั้นแปลว่า ทั้งหมดของอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น เป็นการทำตามกระบวนการการผลิตของต่างชาติ ผู้เป็นเจ้าของอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นๆ เพียงอย่างเดียว แปลว่า การ "สร้าง" รถยนต์ ทีละคันๆ จนเรียกว่าการ "ผลิต" หลายๆแหล่งการผลิต จนเรียกว่า "อุตสาหกรรมยานยนต์" ทั้งหมดนั้น เราไม่ได้ทำด้วยตนเอง ดังนั้น อุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เรามีนั้น ไม่สามารถ "อยู่ได้ด้วยตนเอง"

    ซึ่งผมไม่รู้ว่า มีทั้งหมด กี่อุตสาหกรรม ในประเทศของเรา ที่มีลักษณะแบบนี้ แต่ภาพรวม ที่ผมเห็นก็คือ เราพยายาม ให้ต่างชาติ เข้ามา ใช้เรา เป็น แรงงาน ในการผลิต ซึ่ง ก็คือ ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ว่า ให้ต่างชาติ เข้ามาลงทุน ซึ่ง หากรายรับของประเทศส่วนใหญ่ ณ เวลานี้นั้น ได้มาด้วยวิธีนี้ แสดงว่า โดยรวมแล้ว ประเทศของเรา ณ เวลานี้นั้น ไม่สามารถ "อยู่ได้ด้วยตนเอง" แปลว่า ไม่สามารถ "พึ่งตนเองได้"

    พอมาถึงตอนนี้ พอผมย้อนมอง ไปในเรื่องการศึกษาที่เปรียบดังเหตุ ก็เลยพบความจริงที่น่าเศร้า ว่า หากผู้ที่ผ่านการศึกษานั้นส่วนใหญ่ ยัง "พึ่งตนเองไม่ได้" ภาพรวมของประเทศนั้น ก็จะ "พึ่งตนเองไม่ได้" เช่นเดียวกัน เปรียบดังเราใส่เหตุ ของการ "พึ่งตนเองไม่ได้" เข้าไปเรื่อยๆ ผลของการใส่เหตุนั้น ย่อมออกมาว่า "พึ่งตนเองไม่ได้" เช่นกัน

    และความจริงที่น่าเศร้า อีกข้อหนึ่ง คือ ทั้งหมดนี้ แสดงว่า คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ปฏิบัติตาม คำสอน ของพระองค์ท่าน ที่ทรงเน้น ให้เราพึ่งตนเองได้เลย

    จริงๆแล้ว แม้แต่ในเรื่องการศึกษา ที่เปรียบดังเหตุ นั้น พระองค์ท่านก็เคยมีพระบรมราโชวาท ที่พระราชทานให้พิมพ์ในหนังสือวันเด็ก พ.ศ. 2530 มีใจความตอนหนึ่งว่า

    ...เด็กๆนอกจากจะต้องเรียนความรู้แล้วยังต้องหัดทำการงานและทำความดีด้วยเพราะการทำงานจะช่วยให้มีความ
    สามารถ มีความขยันอดทนพึ่งตนเองได้ และการทำดีนั้น จะช่วยให้มีความสุขความเจริญ ทั้งป้องกันตนไว้ไม่ให้ตกต่ำ

    พระบรมราโชวาท
    พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ประจำปี 2530

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://president.eau.ac.th/king_r9/king_r9_a0002.php

    ทั้งในเรื่องการศึกษา ที่เปรียบดังเหตุ พระองค์ท่านทรงสอนให้เราพึ่งตนเอง (จากพระบรมราโชวาท ด้านบน) ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ ที่เปรียบดังผล พระองค์ท่านก็ทรงสอนให้เราพึ่งตนเอง (จากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง) และที่สำคัญ พระองค์ท่านไม่ได้ทรงสอนเราด้วยพระราชโอวาทเพียงอย่างเดียว งานที่พระองค์ทรงทำมาตลอด นั่นคือการ สอนให้ประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในถิ่นธุรกันดาร ได้สามารถมีอาชีพ สามารถทำกินหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ ดังที่เราเห็น "โครงการหลวง" เกิดขึ้นมากมายจากงานที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ซึ่ง ทั้งหมดนั้น ก็เพราะต้องการให้ประชาชน "พึ่งตนเองได้" พอเจอความจริงนี้ มันเป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆครับ ที่ทั้งหมดนี้ ไม่ถูกนำไปปฏิบัติ หรือ สานต่อ ให้เกิดขึ้นในระดับชาติเลย

    จนผมอดไม่ได้ ที่จะสงสัยว่า แล้วไอ้ความ "ไม่สามารถ พึ่งตนเองได้" ที่ทำให้ชาติเราอ่อนแอลงเรื่อยๆ นี้ มันมีจุดเริ่มต้นมาจากสิ่งใดกันแน่ เพราะก่อนที่เราจะเริ่มเปิดประเทศรับวัฒนธรรมจากตะวันตกนั้น สยามประเทศ หรือ ประเทศไทย ในอดีตนั้น ก็เป็นชาติรัฐที่สามารถ "อยู่ได้ด้วยตนเอง" มาตลอด ไม่ได้ต้องพึ่งการลงทุนจากประเทศที่มีวิทยาการสูงกว่า แต่อย่างใด แม้แต่ในช่วงเวลาที่วิฤกติที่สุด อย่างช่วงที่มีการล่าอณานิคม โดยสามารถใช้กำลังทหารอย่างเปิดเผยได้นั้น ล้นเกล้ารัชการที่ห้า พระองค์ท่าน ยังทรงพาสยามประเทศรอดพ้นจากการตกเป็นอณานิคม ของเหล่าชาติตะวันตก ที่ล้วนแต่มีวิทยาการสูงและกำลังทหารที่เข้มแข็งกว่าหลายเท่า ได้ เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสียด้วยซ้ำ นั่นยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึง การเลือก ยืนหยัด ที่จะพึ่งตนเอง แม้แต่ในช่วงเวลาวิกฤตที่สุด

    ผมขอย้อนกลับไปยังสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริงที่ฟ้องถึงการไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ที่ผมพบในชีวิตประจำวัน นั่นคือ เรื่องการกวดวิชา ที่เพิ่งมาระบาดเอาหนักในช่วงหลังๆ ทั้งที่เมื่อย้อนกลับไปสมัยก่อนในช่วงที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ (ประมาณ สิบกว่าปีที่แล้ว) ค่านิยมในการกวดวิชานั้น ยังน้อยกว่านี้มาก การกวดวิชาในระดับมหาวิทยาลัยแทบไม่มี ดังที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเรียนจนจบตลอดหลักสูตรได้ (สำหรับคนที่ไม่เคยกวดวิชาเลยจนตลอดการเรียนหนังสือ ถือว่า ได้พึ่งตนเองในการเรียนหนังสือ จนสำเร็จตามหลักสูตร) ซึ่ง หลักสูตรการศึกษา จากเมื่อ สิบกว่าปีที่แล้ว กับ ปัจจุบัน เท่าที่ผมได้เห็น ก็แทบไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่ค่านิยมในการกวดวิชานั้น กลับเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อ สิบกว่าปีที่แล้ว อย่างเทียบไม่ได้ จนกระทั่งระบาดเข้าสู่การเรียนระดับมหาวิทยาลัย

    แปลว่า จริงๆ จุดเริ่มต้นของการ "ไม่สามารถ พึ่งตนเองได้" ที่เป็นปัญหาของชาติเรา ที่ผมพบเจอนั้น มันไม่ได้มาจาก การไร้ความสามารถในการพึ่งตนเอง อย่างสิ้นเชิง แต่เกิดจาก การ "ไม่คิดจะพึ่งตนเอง"

    พอเจอความจริงข้อนี้ ผมก็ถึงกับขำ ว่าสุดท้ายก็วนมาเข้าพื้นที่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เพราะผมเองก็เคยอยู่ในภาวะที่ "ยัง ไม่คิดจะพึ่งตนเอง" เช่นกัน ที่ผมต้องบอกว่า อยู่ในภาวะที่เรียกว่า "ยัง ไม่คิดจะพึ่งตนเอง" ไม่ได้ใช้คำว่า "ไม่คิดจะพึ่งตนเอง" โดยตรงนั้น ก็เพราะในกรณีของผม จริงๆ ผม เลือก จะพึ่งตนเองอยู่แล้ว (หลักฐานหนึ่ง คือ ผมไม่เคยไปเรียนกวดวิชาเลย ตั้งแต่เริ่มเรียน จนเรียนจบ) แต่ในภาวะที่เริ่มประกอบการตอนนั้น ผมมองตัวเองไม่ทัน ไม่รู้จริงๆ ว่าผม ยังอยู่ในภาวะที่เรียกว่า "ยัง ไม่คิดจะพึ่งตนเอง" พอคุณเอกราช มาบอกความจริง ผมเลยระลึกได้ และเริ่มหลุดจากภาวะนั้นได้ และเริ่มเข้าสู่วิถีการสร้างงาน สร้างองค์กรธุรกิจ ในที่สุด นั่นแสดงว่า ผมไม่ได้ เลือก "ไม่คิดจะพึ่งตนเอง" ไปตลอด


    ขอขอบคุณรูปจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:To...e_building.JPG

    แต่ถึงแม้ ว่า "คิดจะพึ่งตนเอง" แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า จะ พึ่งตนเองได้ เลยในทันที เปรียบเหมือนกับ เรายังไม่มีบ้าน ต้องยืนตากแดดตากฝนอยู่ แสดงว่าเรายังพึ่งตนเองไม่ได้ในเรื่องของการมีที่อยู่อาศัยไว้บังแดดฝน แต่เราคิดจะพึ่งตนเอง จะแก้ปัญหานี้ให้ได้ด้วยตัวเราเอง ไม่เลือกที่จะไปขออาศัยบ้านคนอื่นอยู่ตลอดไป ก็ไม่ได้หมายความว่า คิดปั๊บแล้วบ้านจะมาทันที เราก็ต้องสร้างบ้านเราให้สำเร็จก่อน ซึ่ง หากเราไม่มีทักษะจะสร้างบ้าน ก็ต้องไปฝึกจนมีทักษะที่จะสร้างบ้านได้ก่อน จึงจะเริ่มสร้างบ้านได้ เมื่อไรที่เราสร้างบ้านสำเร็จ จึงจะเรียกได้ว่า เราพึ่งตนเองได้แล้วในการมีที่อยู่อาศัยไว้บังแดดฝน

    จากตัวอย่างเปรียบเทียบ อาจรู้สึกว่า กว่าจะพึ่งตนเองได้นั้น มันลำบากแสนเข็ญ ซึ่ง ถูกแล้วครับ กว่าจะพึ่งตนเองในแต่ละเรื่องได้นั้น มันหนีไม่พ้นว่าต้องลำบาก แต่ลำบากมาก ลำบากน้อยนั้น ขึ้นกับแต่ละเรื่องที่เรา คิดจะพึ่งตนเอง

    ส่วนตัวผมเอง ที่เริ่มต้นคิดจะเปิดบริษัทของตนเอง (ตอนที่ยังไม่เริ่มเข้าสู่วิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ) นั่นก็เริ่มจากอยากรวย อยากเกษียณจากงานเร็ว โดยที่ในตอนนั้น ผมไม่ทันรู้เสียด้วยซ้ำ ว่า นั่นคือ ผล ของการ พึ่งตนองได้ ในโลกทุนนิยม ซึ่ง ผลของความไม่รู้ นั่นเองที่ทำให้ผมต้องเคว้งคว้างอยู่หลายปี แต่พอได้รู้ จึ่งเริ่ม "พยายาม พึ่งตนเองให้ได้ ในโลกทุนนิยม" แต่ในการ "พยายาม พึ่งตนเองให้ได้ ในโลกทุนนิยม" นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย มีทักษะหลายทักษะ ที่ต้องฝึกให้ผ่าน ก่อนที่จะพึ่งตนได้ ในโลกทุนนิยม ซึ่ง ทักษะแรกที่ต้องฝึกนั้น ในวิถีสร้างงานสร้างองค์กร ที่ผมฝึกอยู่นั้น เรียกว่า "ทักษะวิชาชีพ"

    คุณเอกราช จันทร์ดอน ได้ให้คำจำกัดความ คำว่า "วิชาชีพ" ไว้ว่า
    วิชาชีพ คือ อาชีพ ที่ต้องใช้ความรู้ในการทำงาน
    ดังนั้น "ทักษะวิชาชีพ" นั้น จึงหมายถึง ทักษะ ที่ใช้ประกอบอาชีพ ที่ต้องใช้ความรู้ในการทำงาน

    การฝึก "ทักษะวิชาชีพ" นั้น จึงเป็นการฝึกให้รู้ว่า "วิชาชีพ" ที่เราเลือกนั้น เกิดขึ้นมาด้วยเหตุใด และมีความรู้ใด ที่เป็นหลักสำคัญของวิชาชีพของเรา และ ฝึกให้สามารถใช้ ความรู้ ที่มีในวิชาชีพที่เราเลือก ในการทำงาน แก้ปัญหา ได้

    หากเมื่อไรที่เราผ่านการฝึกทักษะวิชาชีพแล้ว เราจะเริ่มรู้ ว่า "ความรู้" ที่เรามีนั้น สามารถแก้ปัญหาใดได้บ้าง และเมื่อพบเห็นปัญหาที่เราสามารถใช้ "ความรู้" ที่เรามี แก้ไขได้ เกิดขึ้น เมื่อเราเริ่มลงมือแก้ไขปัญหานั้น และเริ่มบอกไปยังคนอื่น ว่าเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ผู้ที่มีปัญหาเดียวกันกับปัญหาที่เราสามารถแก้ไขได้ ก็จะเริ่มเข้ามาให้เราช่วยเหลือ ซึ่ง ในวิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ที่ผมฝึกฝนอยู่นั้น เรียกผู้ที่เข้ามาให้เราช่วยเหลือนี้ว่า "ลูกค้า" การสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ จึงสามารถ เริ่ม ได้จากจุดนี้


    หากเราเริ่ม "คิด จะพึ่งตนเองแล้ว" การผ่านการฝึกฝน จนมี ทักษะวิชาชีพ จะช่วยให้เรา สามารถ "เริ่ม" ย้ำนะครับว่าแค่ "เริ่ม" เข้าสู่วิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ได้

    "ทักษะวิชาชีพ" จึงเป็นปราการด่านแรกที่ต้องฝึก และเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญ ในการฝึกฝน ในวิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ซึ่ง ผมโชคดี ที่ผมมีทักษะวิชาชีพวิศวกรรม ที่ผมได้รับการสอนมาจาก อ.ปัญญา เหล่าอนันตธนา แห่งภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในช่วงที่ผมเรียนปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า อยู่กับท่าน ผมจึงสามารถ เริ่ม เข้าสู่วิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจได้ทันที หลังจากเริ่ม "คิด จะพึ่งตนเอง"

    พอมาถึงจุดนี้ ผมจึงได้เจอความผิดพลาดของตัวผมเอง ในการ ตัดสินใจ เปิด "ชมรมผู้ประกอบการใหม่ ด้าน IT"

    หากเริ่มทบทวนไปยังภาพที่ผมอยากเห็นและการจัดสินใจของผมใหม่ ภาพที่ผมอยากเห็นนั้นคือ อยากเห็นคนอื่นๆที่เรียนหรือสนใจในการพัฒนาเทโนโลยีไอที ได้ตัดสินใจเริ่มออกมาสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจของตนเองด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีไอที แต่การจัดสินใจของผมที่เลือกเปิด "ชมรมผู้ประกอบการใหม่ ด้าน IT" โดยที่ เลือกจะนำความรู้ที่ได้รับจากการเริ่มสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ด้าน IT ของตนเอง มาแชร์ให้คนในชมรมได้รู้ด้วย

    พอเริ่มพิจารณาอย่างละเอียด จึงเห็นว่าภาพที่อยากเห็น (ผล) กับ สิ่งที่ทำ (เหตุ) แล้ว ก็พบว่าไม่ได้สอดคล้องกันเลย

    ภาพที่อยากเห็นของผมคือ อยากเห็นคน เริ่มออกมาสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจเพิ่มขึ้น ไม่ได้อยากเห็นคน แค่ออกมาเปิดบริษัทเพิ่มขึ้น เพราะการเปิดบริษัทนั้น ไม่ได้การันตี ว่าคนที่เปิด นั้น เริ่มสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจแล้ว (ยกตัวอย่างเช่น ผม ในอดีต) ดังนั้น การที่แค่เพียง นำความรู้ที่ได้รับจากการเริ่มสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ด้าน IT ของตัวผมเอง มาแชร์ให้คนในชมรมได้รู้นั้น ไม่เพียงพอแน่ ที่จะทำให้คนที่ได้รู้นั้น สามารถเริ่มสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจของตนเองได้

    เจอความผิดพลาดของตนเองในเรื่องนี้ ผมก็ต้องนั่งขำอีกรอบ เพราะเหตุของความผิดพลาดในครั้งนี้ มากจาก ความ "รีบ" ของผมอีกแล้ว เพราะ "รีบ" อยากจะเห็นภาพที่อยากเห็น จึงมองไม่ทัน ไม่ได้พิจารณาละเอียด ว่า ภาพที่อยากเห็นั้น มาจากเหตุใด การตัดสินใจ จึงผิดพลาด โดยหยิบเอาแต่รูปแบบ มาให้ (การนำความรู้ที่ตนเองได้รับจากการทำงานของตนเอง มาเผยแพร่ จริงๆแล้วคือ การนำรูปแบบมาให้) แต่ไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้ผู้รับ สัมผัสถึงเหตุที่แท้จริง เหมือนนโยบายระดับประเทศหลายๆตัว ของประเทศเรา ที่รีบไปลอกรูปแบบมาจากประเทศที่เจริญแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ทันพิจารณาจนถึงระดับเหตุ ว่าเขามีเหตุใด ทำไมเขาจึงเจริญได้ (ประเด็นนี้ เป็นประเด็นที่ผมเคยว่าคนอื่นเขา ผมเองก็กลับเป็นเสียเอง)

    อย่างที่ผมบอกด้านบน ว่า การฝึกให้เห็นความ "รีบ" ของตน และฝึกฝนต่อ จนเอาชนะ ความ "รีบ" ของตนได้นั้น เป็นพื้นฐานหนึ่ง ของการฝึกสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ในวิถีที่ผมฝึกอยู่ ซึ่ง ถึงแม้มันจะเป็นการฝึกพื้นฐานก็ตาม แต่จริงๆแล้วไม่ได้ง่ายเลย โดยเฉลี่ยแล้ว ต้องฝึกกันหลายปี กว่าจะเริ่มมองเห็น ภาวะ "รีบ" ของตน และ ต้องฝึกอีกหลายปี ในการ เอาชนะ ความ "รีบ" ของตน ผมเองก็ยังฝึกอยู่เช่นกันครับ แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องฝึกให้ผ่านก่อน จึงจะเริ่มสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจได้ ในทางกลับกัน วิถีที่ผมฝึกอยู่นั้น ใช้ การสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ เป็นการฝึกเพื่อเอาชนะภาวะที่ก่อให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดแบบต่างๆ ดังนั้น อย่างที่ผมบอก วินัยสำคัญหนึ่ง ในการฝึกตนในวิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจที่ผมฝึกอยู่นั้น คือการทบทวน หาการตัดสินใจที่ผิดพลาด และสิ่งที่ก่อให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดของตนเอง ทั้งหมด ก็เพื่อไม่ให้เราตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแบบเดิมตลอดไปครับ


    ขอขอบคุณรูปจาก http://craikido.blogspot.com/

    พอถึงตรงนี้ หลังจากทบทวนเจอ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวผมเอง และ เหตุของการตัดสินใจผิดพลาดนั้น ก็ต้องหาการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพื่อทำภาพที่อยากเห็นให้เป็นจริงครับ

    หากพูดถึงการเริ่มสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจแล้ว จากที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้นแล้วนั้น สิ่งที่เป็นเหตุให้สามารถเริ่มได้นั้น คือ จะต้อง "คิด จะพึ่งตนเอง" และ ต้องผ่านการฝึก จนมี "ทักษะวิชาชีพ" เสียก่อน จึงจะเริ่มสร้างงาน สร้างองค์กรธุรกิจ ตามวิถีที่ผมฝึกอยู่ได้

    พอพิจารณาเหตุ ทั้งสองข้อนี้อย่างละเอียดแล้ว ผมต้องยอมรับข้อจำกัดข้อหนึ่งของผม ว่า ผมไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติใครได้ (เจ้าตัวต้องเป็นคนเปลี่ยนทัศนคติตนเอง) ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถเปลี่ยน คนที่ เลือก "ไม่คิด จะพึ่งตนเอง" ให้เลือก "คิด จะพึ่งตนเอง" ได้เป็นแน่ แต่กับคนที่ ไม่รู้ ว่าตนเอง "ยัง ไม่คิดจะพึ่งตนเอง" เหมือนผมในอดีตนั้น ผมสามารถให้ความรู้เขาได้ ซึ่ง ความรู้ที่ว่า ก็คือ บทความนี้แหละครับ แต่หลังจากรู้แล้ว ว่าตน "ยัง ไม่คิดจะพึ่งตนเอง" นั้น จะตัดสินใจอย่างไร ก็แล้วแต่ตัวเขาเอง ผมคงไม่สามารถยุ่งเกี่ยวได้ ซึ่ง หากเขาเลือก "ไม่คิด จะพึ่งตนเอง" นั้น ผมคงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้ เพราะเลือกเส้นทางเดินคนละเส้นกัน

    แต่กับ คนที่ เลือก "คิด จะพึ่งตนเอง" นั้น สิ่งที่เขาขาด ก่อนที่จะสามารถเริ่มสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ของตนได้นั้น ก็คือ "ทักษะวิชาชีพ" ซึ่ง ทักษะวิชาชีพ ที่ผมมี พอที่จะสามารถถ่ายทอดได้นั้น ผมมีเพียง ทักษะวิชาชีพวิศวกรรม ซึ่ง ผมยินดีที่จะถ่ายทอด เพื่อช่วยให้คนที่ เลือก "คิด จะพึ่งตนเองแล้ว" ได้สามารถเริ่มสร้างงาน สร้างองค์กรธุรกิจของตนได้

    พอถึงตอนนี้ ผมจึงเริ่มเจอ ว่า ที่ถูกแล้ว สิ่งที่ผมควรทำ ในพื้นที่ การเผยแพร่ความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ต คือ การเผยแพร่ความรู้ เพื่อให้ผู้รับได้สัมผัสถึง คำว่า ทักษะวิชาชีพวิศวกรรม และสำหรับ ผู้ที่ได้สัมผัสถึง "ทักษะวิชาชีพวิศวกรรม" แล้ว สนใจจะเข้ามารับการถ่ายทอดทักษะวิชาชีพวิศวกรรม จากองค์กรธุรกิจ ที่ผมรับผิดชอบนั้น ผมได้เปิด "ค่ายฝึกทักษะวิศวกรรมไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ขั้นสูง จาก bit (BIT CAMP)" ซึ่งจะจัดทุกปิดเทอมหน้าร้อน ไว้แล้ว ซึ่ง สามารถสมัครเข้าร่วมได้ ไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยที่ คนที่ผ่าน BIT CAMP แล้ว ถ้าหากมีใครสนใจ จะเริ่มเข้าสู่วิถีการสร้างงานสร้างองค์กรธุรกิจ ที่ผมฝึกอยู่ต่อนั้น ก็สามารถ สมัครเพื่อเข้ารับการพิจารณาได้ จากรายละเอียด ในบทความ "รับสมัคร ผู้สร้างงาน ร่วมกันกับเรา"

    ซึ่ง จากกระบวนการของงานทั้งหมดที่เจอ ผมจึงพบว่า สิ่งที่ผิด ต้องปรับนั้น คือ พื้นที่การเผยแพร่ความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ต ผมจึงตัดสินใจ ยุบพื้นที่ "ชมรมผู้ประกอบการใหม่ ด้าน IT" ที่ผิดออก และ เปิดพื้นที่ในการเผยแพร่ "ทักษะวิชาชีพวิศวกรรม" ใหม่ คือ "โรงเรียนวิศวกรรมขั้นสูง จาก BIT" ด้วยเหตุผลดังที่เขียนในบทความนี้นะครับ

    และบทความต่อๆไป ที่จะเผยแพร่ในพื้นที่ "โรงเรียนวิศวกรรมขั้นสูง จาก BIT" นั้น จะมุ่งเผยแพร่ให้ผู้รับได้สัมผัสถึง "ทักษะวิชาชีพวิศวกรรม" เป็นสำคัญ ซึ่ง แน่นอนว่า หากมีทักษะแล้ว สิ่งที่จำเป็นต่อมีควบคู่กันไม่อาจขาดได้ ก็คือ "ความรับผิดชอบในวิชาชีพวิศวกรรม" โดยที่ บทความที่ผมจะเผยแพร่ใน พื้นที่ "โรงเรียนวิศวกรรมขั้นสูง จาก BIT" จะเขียนควบคู่กันไปให้เห็นระหว่างทักษะ กับความรับผิดชอบ ครับ

    สำหรับ กรุ๊ป "ชมรมผู้ประกอบการใหม่ ด้าน IT" ในเฟสบุ๊คนั้น ผมได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนวิศวกรรมขั้นสูง จาก BIT" แล้วครับ แต่ใน Sbntown นั้น เครื่องมือยังไม่เอื้ออำนวยให้เปลี่ยน ชื่อ Social Group ได้ เลยขอเปิด Social Group ใหม่ ใช้ชื่อว่า "โรงเรียนวิศวกรรมขั้นสูง จาก BIT" นะครับ ส่วน Social Group "ชมรมผู้ประกอบการใหม่ ด้าน IT" ผมจะค่อยๆ เลือกบทความที่ลงไปแล้ว มาลงในกรุ๊ปใหม่ ตามความเหมาะสมนะครับ และ เขียนประกาศในกรุ๊ปเดิม ถึงการย้ายมากรุ๊ปใหม่ครับ ส่วนจะเปิดกรุ๊ปเก่าทิ้งไว้ตลอด หรือ ปิดกรุ๊ปอย่างไร ขอปรึกษาทางแอ๊ดมินของ Sbntown ก่อนแล้วจะแจ้งอีกครั้งครับ

    หากมีสิ่งใดจะสอบถาม หรืออยากแชร์ สามารถโพสต์ได้เลยครับ

    ขอบคุณมากครับ
  2. SkyFairy2
    SkyFairy2
    เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยี่ที่จะสร้างความรู้สึกเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ elips c สำหรับขั้นตอนการเลิกบุหรี่ด้วยบุหรี่ไฟฟ้า ผมนำมาจากเอกสารกำกับสินค้า ovale เรายินดีให้คำแนะนำทุกท่านอย่างเป็นกันเอง บุหรี่ไฟฟ้า กล่องเสียง eroll นอกจากนิโครติน บุหรี่ไฟฟ้ามีโทษอย่างอื่นหรือไม่ คำตอบคือไม่มีครับเพราะ ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าเสริมด้วย PG กับ VG ซึ่งมีในพวกยาสีฟัน ครีมล้างหน้า เยลลี่ ลิปมันทาปาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ขายบุหรี่ไฟฟ้า บุหรี่มีสารประกอบต่างๆ อยู่ประมาณ 4000 ชนิด มีสารก่อมะเร็งไม่ต่ำกว่า 42 ชนิด ซึ่งสารบางชนิดเป็นอันตรายที่สำคัญ
  3. SkyFairy2
    SkyFairy2



    เราจะคอยเป็นที่ปรึกษา แนวทางตอบปัญหาทุกเรื่อง ibcbet ความหนักแน่น เพราะเราคือตัวแทน เวบไซต์ที่นิยมมากที่หนึ่งของไทย กีฬาออนไลน์ บริการ 24 ชม ซึ่งเราจะหาได้ไม่ยากตามแหล่งชุมชนต่างๆ สามารถ เล่นผ่านอินเทอร์เน็ตออนไลน์ได้แล้ว sbobet link บริการห้องพัก สิ่งอำนวย
    ความสะดวก ความบันเทิง เกมมิ่งต่างๆในคาสิโนครบครัน
  4. tongclud7
    ยอดฮิตที่หนึ่งเหนือใคร และได้รับความนิยมสูงที่สุดของวงการ เราเป็นผู้ให้คำชี้แนะที่มีประสบการณ์มากว่า 20 ปี เราใช้ระบบโปรแกรมที่มีความปลอดภัยและมีมาตราฐานมากที่สุด goldclub slot เงินที่ได้จากการชนะจะถูกโอนเข้าบัญชีของลูกค้าตามที่ลูกค้าได้แจ้งไว้เคุณั้น ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขบัญชีในการรับโอนเงินช่วยต้อต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง royal1688 สมัคร เพื่อความเร้าใจสนานสัมผัสสภาพแวดล้อมในวิธีการเล่นกับเรา และคุณยังสามารถลุ้นแจ็คพ็อตที่มีรางวัลมูลค่ามากที่สุด ก้าวขึ้นมาครองใจผู้บริโภคดีที่สุดในประเทศไทย ยิ่งเป็นกลุ่มคนสมัยใหม่แล้วยิ่งชอบ โกลคลับสล็อต ที่ได้รับลิขสิทธิ์แท้โดยตรงจากกัมพูชา สถานที่ตั้งเสริมกิจการทางเราสามารถใช้กำหนดเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว หากคุณสมัครเป็นลูกค้าใหม่กับเราวันนี้เรามีโบนัสรับฟรี เพื่อให้สมัครเข้าใช้งานทุกท่านได้รับความสนุกสนานไปพร้อมกับเรา ไม่ว่าจะเป็นโบนัสเงินฝาก ค่าคอมมิสชั่น holiday palace หลังจาก Login คุณสามารถตรวจสอบ ยอดเงินของท่าน ใน ยอดคงเหลือ ในเมนูด้านบนหรือเดิมพันฟุตบอลในเมนูกีฬาด้านซ้ายมือ เรายึดมั่นในการให้คำแนะนำสมาชิกบาคาร่าทุกท่านเสมือนเป็นลูกค้าระดับ VIP และโบนัสต่างๆ
Results 1 to 4 of 4